คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6499/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใหญ่บ้านในท้องที่เกิดเหตุมานานประมาณ15 ปีแล้ว ย่อมทราบความเป็นมาของหมู่บ้านตลอดจนความเดือดร้อนของชาวบ้านอย่างแท้จริงเมื่อไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการใด ๆ ได้ และความเดือดร้อนเหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่จึงเป็นธรรมดาที่จำเลยทั้งหกกับพวก ซึ่งเป็นข้าแผ่นดินจะพึงระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่พึ่งสุดท้าย ของพสกนิกรทั้งปวง หนังสือกราบบังคมทูลของจำเลยทั้งหกกับพวก จึงมีลักษณะเป็นการทูลเกล้าถวายฎีกา เพื่อให้ทรงทราบถึง ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับจำเลยทั้งหกกับพวก โดยหวังใน พระเมตตาบารมีของพระองค์ท่านในอันที่จะขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนที่มีอยู่ให้ระงับสิ้นไปเท่านั้น หาได้มีเจตนาที่จะทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่มีการถมดินรุกล้ำลำรางหรือลำลาดสาธารณประโยชน์สืบต่อจากผู้กระทำการดังกล่าว หาได้พ้นจากความรับผิดไปได้ไม่ ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นเท็จแต่อย่างใด ดังนั้น การทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งหกกับพวกร่วมกันทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีข้อความอันเป็นเท็จอันเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยข้อความอันเป็นเท็จฝ่าฝืนต่อความจริงว่า”บริษัทเพิ่มทรัพย์ลิสซิ่ง จำกัด ได้ทำการรุกล้ำถมลำราง ลำลาดและที่สาธารณประโยชน์ เป็นเนื้อที่หลายไร่ในท้องที่ หมู่ที่ 11แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยถมลำลาดทองหลางตลอดแนวเป็นถนนเข้าหมู่บ้านบัวขาวและถมปลูกอาคารพาณิชย์สามชั้นขายเป็นประโยชน์ส่วนตน” และมีข้อความว่า “บริษัทดังกล่าวได้เอารถแทรกเตอร์ดันดินถมลำลาดทุกแห่งจนหมดและออกโฉนดที่ดินถือครองกรรมสิทธิ์” ข้อความดังกล่าวทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์ทำการรุกล้ำถมลำรางและลำลาดและที่สาธารณประโยชน์เป็นประโยชน์ส่วนตน และได้ร่วมกับบริษัทเคหะชุมชนบัวขาว จำกัดถมลำลาดทองหลางและสร้างอาคารพาณิชย์สามชั้นขึ้นในบริเวณลำลาดทองหลางความยาว 500 เมตร ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าอาคารพาณิชย์ที่โจทก์สร้างขายตั้งอยู่บนลำรางสาธารณประโยชน์อันเป็นความเท็จทั้งสิ้น ความจริงโจทก์มิได้ทำการรุกล้ำถมลำรางลำลาดหรือที่สาธารณประโยชน์ทำเป็นถนนเข้าหมู่บ้านบัวขาวหรือถมปลูกอาคารพาณิชย์ขายเป็นประโยชน์ส่วนตน มิได้เอารถแทรกเตอร์ดันดินถมลำรางหรือลำลาดใด ๆ การไขข่าวของจำเลยทั้งหกกับพวกทำให้บุคคลทั่วไปขาดความเชื่อถือ เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงและทางทำมาหาได้และทางเจริญในการประกอบธุรกิจการค้าของโจทก์โจทก์จึงได้รับความเสียหายทางชื่อเสียงและทางทำมาหาได้จากการประกอบธุรกิจ ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชำระเงิน1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ และมติชนเป็นเวลา 7 วัน โดยคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1 ส่งหนังสือให้สำนักงานราชเลขาธิการเท่านั้น จึงมิใช่เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันเป็นเท็จ บุคคลที่รับเอกสารนั้นมิได้ประสงค์ที่จะซื้อที่ดินหรืออาคารพาณิชย์ของโจทก์ โจทก์ไม่เสียหายจำเลยทั้งหกมิได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จทั้งสิ้น จำเลยทั้งหกได้รับความเดือดร้อนจริงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการที่จำเลยทั้งหกกับพวกได้ร่วมกันทำหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามสำเนาหนังสือขอความเมตตากรุณาเพื่อช่วยขจัดความเดือดร้อนเอกสารหมาย จ.3เป็นการละเมิดต่อโจทก์ด้วยการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันเป็นเท็จอันเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ ตามคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านในท้องที่เกิดเหตุได้ความว่าเดิมลำลาดลำรางนั้น พวกจำเลยที่ 3 ใช้ทำนา ใช้วิดน้ำเข้านาและใช้สัญจรทางน้ำเมื่อถมเป็นถนนแล้วก็ได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากลำลาดและลำรางได้ จำเลยที่ 3เคยไปร้องเรียนทางเขตและกรุงเทพมหานคร ก็ได้รับแจ้งว่าจะดำเนินการให้ แต่ก็มิได้ทำอะไรเป็นเวลานาน พวกจำเลยที่ 3จึงทำหนังสือร้องเรียนต่อกระทรวงมหาดไทยและสำนักนายกรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยก็มีหนังสือแจ้งตอบกลับมาว่าได้มีการรุกล้ำที่สาธารณะจริงกำลังดำเนินการทางกรุงเทพมหานคร และทางกรุงเทพมหานครก็ได้แจ้งให้เขตไปดำเนินการแล้ว แต่จำเลยที่ 3ก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่ ของเขตมาดำเนินการอย่างไร พวกของจำเลยที่ 3จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมเพื่อกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใหญ่บ้านในท้องที่เกิดเหตุตั้งแต่ปี 2523 จนถึงปัจจุบัน (ขณะเบิกความ 23 พฤศจิกายน 2538) ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 15 ปีแล้วจึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ได้ทราบความเป็นมาของหมู่บ้านบัวขาวตลอดจนความเดือดร้อนของชาวบ้านในบริเวณนั้นอย่างแท้จริงเมื่อไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยราชการใด ๆ ได้ และความเดือดร้อนเหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่จำเลยทั้งหกกับพวกซึ่งเป็นข้าแผ่นดินจะพึงระลึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของพสกนิกรทั้งปวงหนังสือกราบบังคมทูลเอกสารหมาย จ.3 ของจำเลยทั้งหกกับพวกจึงมีลักษณะเป็นการทูลเกล้าถวายฎีกา เพื่อให้ทรงทราบถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับจำเลยทั้งหกกับพวก โดยหวังในพระเมตตาบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในอันที่จะขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนที่มีอยู่ให้ระงับสิ้นไปเท่านั้น หาได้มีเจตนาที่จะทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่มีการถมติดรุกล้ำลำรางหรือลำลาดสาธารณประโยชน์สืบต่อจากผู้กระทำการดังกล่าว หาได้พ้นจากความรับผิดไปได้ไม่ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นเท็จแต่อย่างใด ดังนั้น การทำหนังสือกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังกล่าวจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share