คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6485/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเพราะโจทก์ถอนการยึด แม้จะถือว่าโจทก์เป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นตามที่ระบุไว้ในตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 อันจะทำให้โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3ท้ายประมวลกฎหมายดังกล่าวก็ตาม แต่เมื่อมีพฤติการณ์เห็นได้ว่าจำเลยประวิงการบังคับคดีโดยไม่สุจริต ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจาก โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำเลยที่ 1 จำนวน 108 แปลงเพื่อบังคับคดี และอายัดเงินของจำเลยที่ 1ในคดีอื่นมาชำระหนี้ ต่อมาโจทก์ขอถอนการยึด เจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งให้จำเลยชำระค่าธรรมเนียมการยึดโดยไม่มีการขาย จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องว่า ไม่มีหน้าที่ต้องชำระ ขอให้ศาลสั่งให้โจทก์เป็นฝ่ายชำระ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นนี้มีว่า ในกรณีนี้จำเลยที่ 1มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ค่าธรรมเนียมศาลในการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นตามที่ระบุไว้ในตารางท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น ให้คู่ความผู้ดำเนินกระบวนพิจารณานั้น ๆเป็นผู้ชำระ เมื่อโจทก์เป็นผู้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่นตามมาตราดังกล่าว เมื่อยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเพราะโจทก์ขอถอนการยึดทรัพย์ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายดังกลา่ว แต่เมื่อมีพฤติการณ์เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ปล่อยให้ล่วงเลยกำหนดเวลามิได้ขวนขวายชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น เป็นเหตุให้โจทก์ต้องบังคับคดี เมื่อโจทก์นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 แล้ว ต้องเลื่อนการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไปและประกาศขายใหม่หลายครั้งเนื่องมาจากนางสาวพรทิพย์ ดีสมโชคน้องสาวของจำเลยที่ 1 และเด็กหญิงนิภาภรณ์ ดีสมโชค บุตรของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ที่ขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 เองก็ยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดอ้างว่าราคาต่ำไปบ้าง ยื่นคำร้องขอให้รวมการขายทอดตลาดที่ดินไปด้วยกันบ้าง ผู้สู้ราคาสูงสุดได้หลบหนีไม่ชำระเงินตามเงื่อนไขของการประกาศขายทอดตลาดบ้าง เมื่อข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนมีเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาตามฎีกาของโจทก์จึงไม่จำต้องย้อนสำนวนกลับไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนในเรื่องจำเลยที่ 1 ประวิงการบังคับคดีโดยไม่สุจริตหรือไม่ โดยในกรณีนี้พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เป็นการประวิงการบังคับคดีโดยไม่สุจริต จึงต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161มาใช้บังคับ กล่าวคือศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีสั่งไว้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1

Share