คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6483/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่2เป็นเงิน51,000บาทและแก่โจทก์ที่3เป็นเงิน47,483บาทแม้จะพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่1เป็นเงิน203,500บาทก็ตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่2และที่3ก็ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งเพราะเป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ของโจทก์แต่ละคนรวมกันมาต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทของโจทก์แต่ละคนแยกกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิดแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 203,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 240,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และแก่โจทก์ที่ 3เป็นเงิน 282,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 203,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ 2 51,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย และแก่โจทก์ที่ 3 47,483 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าแม้จำเลยทั้งสองจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองเป็นเงิน 203,500 บาท ก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ของโจทก์แต่ละคนรวมกันมา ก็ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทของโจทก์แต่ละคนแยกกัน ฎีกาของจำเลยทั้งสองเกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 และที่ 3จึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ดังนั้นที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า เหตุรถยนต์ชนกันเกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ 3 แต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 และที่ 3 นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share