แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยสมยอมกันทำสัญญากู้และสมยอมกันทำยอมความในศาลเป็นผลให้เกิดการโอนทรัพย์สินของจำเลยคนหนึ่ง ไปยังอีกคนหนึ่งให้พ้นจากการถูกบังคับชำระหนี้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาทำให้โจทก์ไม่อาจบังคับเอาทรัพย์สินของจำเลยมาชำระหนี้ได้เป็นการจงใจทำโดยผิดกฎหมายอันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้โจทก์ย่อมเสียหาย ทางทรัพย์สินแล้ว การกระทำผิดกฎหมายดังนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 422 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้ผิดคือได้ทำละเมิดต่อโจทก์ จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
คำพิพากษาที่พิพากษาตามที่จำเลยยอมความกันนั้น เป็นเรื่องระหว่างจำเลยทั้งสอง ย่อมไม่ผูกพันโจทก์ การทำการสมยอมกันนิติกรรมระหว่างจำเลยย่อมเป็นโมฆะ โจทก์ไม่จำเป็นต้องฟ้องขอให้เพิกถอน
(ข้อแรกประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2512 และ 5/2512)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน๑๗,๕๒๐ บาท ตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ ๔๙๐-๔๙๑/๒๕๐๗ เพื่อไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ จำเลยกระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นผลให้เกิดการโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์สินของตนให้พ้นจากการบังคับชำระหนี้ของโจทก์โดยการสมคบกับผู้อื่น คือหลังจากตกลงใช้ค่าเสียหาย (ค่าเสียหายที่เป็นมูลคดีแพ่ง ๒ เรื่องนั้น) แล้ว จำเลยที่ ๑ แกล้งให้ตนเป็นหนี้เงินกู้จำเลยที่สอง๒๐,๐๐๐ บาท โดยสมคบกันก่อหนี้ที่ไม่เป็นความจริงโดยลงวันที่ย้อนหลังไปต่อมาจำเลยที่ ๒ เอาหลักฐานนั้นฟ้องจำเลยที่ ๑ เรียกเงินต้นและดอกเบี้ยรวม๒๗,๕๐๐ บาท แล้วจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันจำเลยที่ ๑ ยอมใช้เงินตามฟ้องให้ศาลพิพากษาตามยอม จำเลยที่ ๒ ขอบังคับคดียึดที่ดินของ จำเลยที่ ๑ ขายทอดตลาด ได้รับเงินไปบ้างแล้ว จำเลยที่ ๒ขอยึดที่ดินของ จำเลยที่ ๑ อีกแปลงหนึ่งจะบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของ จำเลยที่ ๑ ต่อไปจนหมดมิให้เหลือถึงโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการสมคบกันโกงเจ้าหนี้ เป็นการผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๐ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ไม่อาจบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ได้ เพราะไม่มีทรัพย์สินที่จะบังคับได้อีกแล้ว โจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน ๑๗,๕๗๐ บาท ขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันใช้ให้
จำเลยที่ ๑ ให้การรับว่าเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา จำเลยที่ ๒ไม่รับรองว่าจำเลยที่ ๑ จะเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาหรือไม่ หนี้ตามคำพิพากษาระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยสุจริต จำเลยไม่ได้สมคบกันทำสัญญากู้หนังสือสัญญากู้กับสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีระหว่างจำเลยยังมิได้ถูกพิพากษาเพิกถอน โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยสมยอมกันทำหนี้ขึ้นเพื่อแกล้งไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา เป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าหนี้ตามสัญญากู้ระหว่างจำเลยทั้งสองถูกรับรองว่าถูกต้องและสมบูรณ์โดยคำพิพากษา โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้อาจฟ้องขอให้เพิกถอนทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยสมยอมกันทำขึ้นเพื่อการฉ้อฉลเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗การกระทำของจำเลยไม่ได้ชื่อว่าทำละเมิดแก่โจทก์ ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมกันทำการสมยอมที่ทำให้โจทก์เสียเปรียบหรือไม่ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า หากหนี้ที่จำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาลเป็นหนี้ที่จำเลยสมยอมกันทำสัญญากู้และสมยอมกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความทั้ง ๆ ที่ไม่มีหนี้ต่อกัน และเป็นผลให้เกิดการโอนทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ให้พ้นจากการถูกบังคับชำระหนี้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์ไม่อาจบังคับเอาทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑มาชำระหนี้ได้จริงตามฟ้องแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองก็เป็นการจงใจทำโดยผิดกฎหมาย อันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๐ โจทก์ย่อมเสียหายทางทรัพย์สินแล้วเพราะ จำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะบังคับชำระหนี้ได้อีก การกระทำผิดกฎหมายของจำเลยทั้งสองนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๒ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้ผิด คือ ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๐
ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์อาจฟ้องขอให้ทำลายสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยสมยอมกันทำขึ้นเสียได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาตามที่จำเลยทั้งสองประนีประนอมยอมความกันนั้น เป็นเรื่องระหว่างจำเลยทั้งสอง คำพิพากษานั้นย่อมไม่ผูกพันโจทก์ อนึ่งถ้าจำเลยทั้งสองทำการสมยอมกัน นิติกรรมระหว่างจำเลยย่อมเป็นโมฆะกรรมโจทก์ไม่จำเป็นต้องฟ้องขอให้เพิกถอน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าจำเลยสมยอมกันจริงหรือไม่ แล้วพิพากษาใหม่