คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 – 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 1 – 2 ยอมใช้ต้นเงิน 100,000 บาทกับดอกเบี้ย ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นผู้เซ็นชื่อกู้เงินนี้จากโจทก์ ร่วมกับจำเลยที่ 1 – 2 นั้น ไม่ทำให้จำเลยที่ 3 ซึ่งต่อสู้คดีไปคนละประเด็นกับจำเลยที่ 1 – 2 พ้นผิด เพราะการทำสัญญาประนีประนอมดังกล่าวเป็นแต่สัญญาระงับข้อพิพาท ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ไม่ใช่เป็นการที่ลูกหนี้ร่วมชำระหนี้ และไม่ใช่เป็นการปลดหนี้ เพราะในสัญญาประนีประนอมนั้นมิได้ระบุให้จำเลยที่ 3 พ้นความผิด ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาคดีระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 3 ต่อไป.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๙๖ จำเลยทั้ง ๓ ได้ทำสัญญากู้เงินของโจทก์ไปเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท บัดนี้ เกินกำหนดชำระแล้ว ไม่ชำระ จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้ง ๓ ใช้ต้นเงินดังกล่าวกับดอกเบี้ย ๖๒๕๐ บาท และให้ใช้ดอกเบี้ยใน เงินต้นดังกล่าวในอัตราชั่งละ ๑ บาทต่อเดือนนับแต่วันฟ้องไป
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ รับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ ๓ กู้เงินจากโจทก์ไปจริงตามฟ้อง เคยชำระดอกไป ๓๐,๐๐๐ บาทแล้ว สำหรับ ดอกเบี้ยซึ่งคิดกันในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี เหลือนั้นคิดเป็นเงินใช้เงินต้น
จำเลยที่ ๓ ปฏิเสธว่าไม่เคยกู้เงินจากโจทก์ ความจริงจำเลยที่ ๒ ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดสหะมิตรได้กู้เงินของโจทก์ไป เพื่อการค้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้ว การที่มีชื่ออยู่ในสัญญากู้ด้วย เพราะโจทก์กับจำเลยที่ ๒ สมคบกันใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงจำเลยในขณะที่ทำสัญญากู้ว่าจำเลยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย และจำเลยที่ ๒ ไม่ได้เอาตราของ ห้างหุ้นส่วนจำกัดมา ทรัพย์สินที่เอาประกันการกู้ก็เป็นทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นเอง ขอให้จำเลยเซ็นชื่อร่วมด้วย จึงจะสมบูรณ์และไม่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ ๓ เป็นส่วนตัว จำเลยหลงเชื่อจึงเซ็นให้ไป
ถึงวันพิจารณาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมใช้เงินต้น ๑๐๐,๐๐๐ บาทกับดอกร้อยละ ครึ่งต่อปีแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ ๓ ศาลนัดสืบพยานต่อไป
จำเลยที่ ๓ ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ ๓ เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ในมูลความแห่งคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ทำสัญญา ประนีประนอมยอมใช้แก่โจทก์แล้ว หนี้เก่าก็เป็นอันหมดไปเกิดหนี้ใหม่ขึ้นแทนที่ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องผูกพันชำระเก่า นั้นอีก และขอให้ศาลชี้ขาดปัญหาข้อนี้เสียก่อน
โจทก์ได้ยื่นคำร้องว่าในสัญญากู้ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ ๓ และจำเลยอื่น กู้เงินโจทก์ในฐานะแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดสหะมิตร เป็นการกู้ส่วนตัว จำเลยที่ ๓ จึงจะสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารว่าเป็นการกู้แทนห้างหุ้นส่วนไม่ต้อง ห้ามตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ และขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้น ในปัญหาข้อนี้ก่อนด้วย
ศาลชั้นต้นตัดสินว่า เมื่อลูกหนี้ร่วมคนใดได้ชำระหนี้เต็มจำนวน ย่อมทำให้ลูกหนี้อื่นหลุดพ้นจากความผูกพันไปด้วยตาม ประมวลแพ่ง ฯ มาตรา ๒๙๒ สัญญาประนีประนอมของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นการแปลงหนี้ใหม่ ทำให้สินเรียกร้อง ตามสัญญากู้เดิมระงับไป ตามประมวลแพ่ง ฯ มาตรา ๓๔๙, ๓๕๐ จึงให้ฟ้องโจทก์เฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมเป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และโจทก์ ไม่เกี่ยวถึงจำเลยที่ ๓ ไม่เป็นการ แปลงหนี้ใหม่ตามประมวลมาตรา ๓๔๙ และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ก็ยังมิได้ทำการชำระหนี้ หรือทำประการใดอันแทนชำระหนี้ อันจะเข้ามาตรา ๒๙๒ แห่งประมวลแพ่ง ฯ ทั้งเมื่อยอมความแล้ว จำเลยที่ ๓ กับโจทก์ยังดำเนินกระบวนพิจารณากัน กรณี ไม่เกี่ยวกับประมวลวิธีพิจารณามาตรา ๕๙ ส่วนเรื่องโจทก์ร้องว่าที่จำเลยที่ ๓ จะขอนำสืบเปลี่ยนแปลงข้อความสัญญากู้นั้น ศาลอุทธรณ์ว่าให้ศาลต้นยังมิได้วินิจฉัย จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณา ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ต่อไป
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยทั้ง ๓ เป็นลูกหนี้ร่วมในมูลหนี้กัน และถูกฟ้องในคดีเดียวกันก็จริงอยู่ แต่จำเลยต่อสู้คดี ไปคนละทาง ประเด็นจึงต่างกันออกไปตามข้อต่อสู้ของจำเลยแต่ละคน แม้ต่อมาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จะได้ทำสัญญาประนอมกับ โจทก์ เพื่อให้ข้อพิพาทเดิมอันมีอยู่ระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และโจทก์ไป ก็ไม่ผูกพันถึงจำเลยที่ ๓ ตามนัยแห่งประมวลแพ่ง ฯ มาตรา ๘๕๐ และ ๘๕๒ เพราะจำเลยที่ ๓ มิได้ร่วมทำด้วย และสัญญาประนีประนอมนั้นก็มิได้ระบุว่า ยอมให้จำเลยพ้น ความรับผิด การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่เกี่ยวกับการแปลงหนี้ใหม่ หรือรับสภาพหนี้ เป็นเพียงทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างตนกับโจทก์ ทั้งยังมิได้ทำการชำระหนี้ตามประมวลแพ่ง ฯ มาตรา ๒๙๓ หรือ มาตรา ๓๔๐ จึงพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share