แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เหตุเกิดในเวลากลางวันต่อหน้าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสอง คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองสอดคล้องตรงกันและให้การหลังเกิดเหตุไม่กี่วันก็ยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย จึงเชื่อว่าได้ให้การไปตามความจริงที่ได้รู้ได้เห็นโดยไม่มีเหตุจูงใจหรือถูกบังคับ การที่ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองมาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายก็ดี จำคนร้ายไม่ได้เลยก็ดี เป็นการเบิกความบ่ายเบี่ยงไปอย่างขัดต่อเหตุผล คำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองเชื่อได้ว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาของศาล เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักบานอื่นแล้วย่อมมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้
ขณะเกิดเหตุ พวกของจำเลยถามผู้ตายว่า มึงยิงพ่อกูใช่หรือไม่ ผู้ตายตอบว่าไม่ พวกของจำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงซ้ำ เช่นนี้ การที่จำเลยกับพวกไปยิงผู้ตายก็เพื่อแก้แค้น จึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙(๔), ๘๓ ลงโทษประหารชีวิต
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์มีนางวรรณา ชินรส และนางกิ้มให้ พรหมสุทธิ์ เป็นประจักษ์พยาน นางวรรณาเบิกความว่า รู้จักคนร้ายทั้งสามคน คือ นายธงชัย ไชยคชบาล นายปรีชา เกศรินทร์ และนายสุรินทร์ แผ่นทอง หลังจากนายธงชัยใช้อาวุธปืนยาวเอ็ม ๑๖ ยิงผู้ตายแล้ว นายปรีชา เกศรินทร์ ใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตายซ้ำอีก ๒ นัด เมื่อโจทก์ถามว่านายปรีชา เกศรินทร์ อยู่ในห้องพิจารณาหรือไม่พยานดูแล้วเบิกความว่าจำเลยไม่ใช่นายปรีชา เกศรินทร์ ที่พยานรู้จัก ส่วนนางกิ้มให้ พรหมสุทธิ์ เบิกความไม่รู้จักคนร้ายทั้งสามมาก่อน เมื่อคนร้ายคนแรกใช้อาวุธปืนยาวยิงผู้ตายแล้ว คนร้ายคนที่สองก็ใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตายซ้ำอีก ๒ นัด คนร้ายใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตาย คือจำเลยพยานชี้ตัวจำเลย แต่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้เลยซึ่งคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวแตกต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานทั้งสองที่ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน โดยพยานให้การยืนยันต่อพนักงานสอบสวนว่า คนร้ายที่ยิงผู้ตายคือ นายธงชัยกับจำเลย นางนับ จันทร์แจ่มศรี มารดาผู้ตาย ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่หมู่ที่ ๖ และนายสุคนธ์ ชนะสุข ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๖ ท้องที่เกิดเหตุ พยานโจทก์เบิกความว่ารู้จักจำเลยมานาน จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่หมู่ที่ ๑ ซึ่งอยู่ติดกับท้องที่หมู่ที่ ๖ และข้อเท็จจริงยังได้ความว่า ผู้ตายรู้จักกับนายธงชัยพวกของจำเลยประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองต่างเป็นภรรยาของผู้ตาย อาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับผู้ตายจึงน่าจะรู้จักจำเลยมาก่อนดังที่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ก่อนคนร้ายยิงผู้ตายคนร้ายได้พูดจากับผู้ตายด้วย เมื่อคนร้ายขึ้นมาบนบ้านจึงยิงผู้ตายต่อหน้าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสอง ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองย่อมมีโอกาสเห็นและจำคนร้ายได้แม่นยำ ไม่ผิดตัว การที่นางวรรณา เบิกความในตอนหลังว่าจำเลยไม่ใช่นายปรีชา เกศรินทร์ ที่พยานรู้จักก็ดี นางกิ้มให้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าจำคนร้ายไม่ได้เลยก็ดี ก็คงกลัวคำขู่ของนายธงชัยพวกของจำเลยมากกว่าจึงเบิกความบ่ายเบี่ยงไปอย่างขัดต่อเหตุผล เห็นว่า คำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองคล้องตรงกันและให้การหลังเกิดเหตุไม่กี่วัน ตอนให้การก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เชื่อว่า ได้ให้การไปตามความจริง ตามที่ได้รู้ได้เห็นโดยไม่มีเหตุจูงใจหรือถูกบังคับแต่อย่างใด เมื่อพิจารณาคำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองประกอบกับคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวในชั้นศาลแล้ว น่าเชื่อว่าคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตาย คือคนที่ชื่อว่านายปรีชา เกศรินทร์ และนายปรีชา เกศรินทร์ คนนั้นคือจำเลยนี้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางนับ จันทร์แจ่มศรี นายสุชนธ์ ชนะสุข จ่าสิบตำรวจอภิชาติ หนุมาศ และร้อยตำรวจตรีปรีชา แกล้วทนงค์ พนักงานสอบสวนเบิกความตรงกันว่าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองได้บอกกับพยานดังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย ซึ่งเป็นระยะเวลากระชั้นชิดกับเวลาเกิดเหตุ เมื่อพิจารณาพยานโจทก์ดังกล่าวประกอบกัน ทั้งพยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ด้วย พยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบอ้างฐานที่อยู่เลื่อนลอย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยกับพวกได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองว่า ขณะเกิดเหตุนายธงชัยได้ถามผู้ตายว่า มึงยิงพ่อกูใช่หรือไม่ เมื่อผู้ตายตอบว่าไม่นายธงชัยก็ใช้อาวุธปืนเอ็ม ๑๖ ยิงผู้ตายทันที แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายซ้ำอีก ๒ นัด ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยกับพวกไปยิงผู้ตายเพื่อแก้แค้นที่บิดาของนายธงชัยถูกยิงตาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน