คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6478/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า กับบันทึกการหย่าซึ่งโจทก์จำเลยได้ทำขึ้นต่างหาก มีข้อความระบุว่าโจทก์จำเลยตกลงยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 7 แปลงให้แก่บุตรทั้งสอง โดยระบุหมายเลขที่ดินทุกแปลงไว้อย่างชัดแจ้งการที่จำเลยทำข้อตกลงดังกล่าวโดยโจทก์เป็นคู่สัญญาจึงเป็นการทำสัญญาเพื่อชำระหนี้แก่บุตรทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง แม้จะไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตาม ข้อตกลงนั้น กรณีหาใช่การให้หรือคำมั่นว่าจะให้ อสังหาริมทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525,526 ไม่ ภายหลังที่โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่าแล้ว จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุตรทั้งสอง โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่บุตรทั้งสอง ตามข้อสัญญาแต่จำเลยเพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ในฐานะ คู่สัญญาและได้กระทำการแทนบุตรทั้งสองซึ่งเป็น ผู้เยาว์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่จะถือเอาประโยชน์ จากข้อตกลงในสัญญานั้นแล้วจำเลยจะยกเหตุว่า บุตรทั้งสองยังไม่ได้แสดงเจตนามายังจำเลยเพื่อให้ ระงับสิทธินั้นหาได้ไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 375

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์กับจำเลยได้แต่งงานและจดทะเบียนสมรสกันเกิดบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นายเขมพันธ์ จันทร์ชมภู และนางสาวจีรพันธ์ จันทร์ชมภู ต่อมาโจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่ากันและทำบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าว่า ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเลขที่ 25, 100, 102, 810, 810 (ที่ถูก 812), 826 พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินเลขที่ 542 ให้แก่บุตรทั้ง 2 คนดังกล่าวแต่จำเลยมิได้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือสิทธิของที่ดินตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์กับนางสาวจีรพันธ์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่จำต้องปฏิบัติตามบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าเพราะทรัพย์สินที่ระบุในบันทึกเป็นสินส่วนตัวของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบคู่ความแล้วคู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยจดทะเบียนหย่าจากการเป็นสามีภริยากัน และได้ทำบันทึกต่อท้ายทะเบียนการหย่า ลงวันที่ 11 มกราคม 2536 ทำต่อหน้าเจ้าพนักงานปกครองอำเภอเมืองอุดรธานี จำเลยสละประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาจะผูกพันตามบันทึกการหย่าและแบ่งสินสมรสศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเลขที่ 25หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 86) จำนวน 1 ไร่ 2 งาน82 ตารางวา ที่ดินเลขที่ 100 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 1761)จำนวน 3 งาน 20 ตารางวา และที่ดินเลขที่ 102 หมายเลข 5443(เลขทะเบียน 1763) จำนวน 1 ไร่ (ตำบลโพธิ์ชัย อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี) ที่ดินเลขที่ 810 (ที่ถูกเป็น 812) หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 4319) จำนวน 6 ไร่ 2 งาน ที่ดินเลขที่ 810 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 4319) จำนวน 11 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา ที่ดินเลขที่ 526 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 5859) จำนวน 1 งาน 68 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินเลขที่ 542 หมายเลข 5443 (เลขทะเบียน 3868) จำนวน 96 ตารางวา(ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี) ให้แก่นายเขมพันธ์ และนางสาวจีรพันธ์ จันทร์ชมภู ร่วมกันโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าโจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายเกิดบุตรด้วยกัน 2 คน เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2536 โจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนหย่าและทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่าระบุยกที่ดินรวม 7 แปลงตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์และนางสาวจีรพันธ์ บุตรทั้งสอง ตามบันทึกการหย่าลงวันที่ 11 มกราคม 2536 คดีมีปัญหาต้อง วินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าบันทึกต่อท้ายทะเบียนหย่าที่ระบุให้จำเลยยกทรัพย์สินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสอง มีผลใช้บังคับตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าข้อความที่ปรากฏในบันทึกท้ายทะเบียนหย่านั้นเป็นเพียงคำมั่นว่าจำเลยจะให้อสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสินส่วนตัวของจำเลยให้แก่บุตรทั้งสองคนโดยเสน่หา ซึ่งตกอยู่ในบังคับมาตรา 525, 526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หาใช่เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก และภายหลังที่จำเลยได้จดทะเบียนหย่าตามข้อตกลงดังกล่าว ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้จดทะเบียนยกทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุตรทั้งสองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายแต่อย่างใด บันทึกท้ายทะเบียนหย่าจึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายและไม่ผูกพันจำเลยนั้นเห็นว่า ในบันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนการหย่า กับบันทึกการหย่าซึ่งโจทก์จำเลยได้ทำขึ้นต่างหาก ก็มีข้อความระบุว่าโจทก์จำเลยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงยินยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินรวม 7 แปลงตามฟ้องให้แก่นายเขมพันธ์ จันทร์ชมภู กับ เด็กหญิงจีรพันธ์ จันทร์ชมภู บุตรทั้งสองโดยระบุหมายเลขที่ดินทุกแปลงไว้โดยชัดแจ้ง การที่จำเลยทำข้อตกลงดังกล่าวโดยโจทก์เป็นคู่สัญญาด้วย เป็นการทำสัญญาเพื่อชำระหนี้แก่บุตรทั้งสองซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 วรรคหนึ่ง แม้จะไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ย่อมผูกพันจำเลยให้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้น จึงมิใช่การให้หรือคำมั่นว่าจะให้อสังหาริมทรัพย์อันตกอยู่ในบังคับมาตรา 525, 526 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่จำเลยอ้าง
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยเพราะไม่ปรากฏว่าบุตรทั้งสองของโจทก์จำเลยยังไม่ได้แสดงเจตนามายังจำเลยจะถือเอาประโยชน์จากข้อสัญญานั้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ความว่าภายหลังที่โจทก์จำเลยทำบันทึกข้อตกลงนั้นแล้วจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสองของโจทก์กับจำเลย โจทก์จึงมอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องให้แก่บุตรทั้งสองตามข้อสัญญา ตามหนังสือบอกกล่าวลงวันที่ 6 พฤษภาคม 2536ซึ่งจำเลยได้ทราบแล้วแต่เพิกเฉย จึงถือว่าโจทก์ในฐานะคู่สัญญาและได้กระทำการแทนบุตรทั้งสองซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่จะถือเอาประโยชน์จากข้อตกลงในสัญญานั้นแล้ว จำเลยจะยกเหตุดังกล่าวเพื่อให้ระงับสิทธินั้นหาได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 375 และที่จำเลยอ้างว่า จำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงระบุยกทรัพย์สินให้แก่บุตรทั้งสองเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม โดยจำเลยเข้าใจว่าทรัพย์สินนั้นเป็นสินสมรส จึงเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับไม่ได้ ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 นั้น เห็นว่าประเด็นข้อต่อสู้ดังกล่าวจำเลยได้แถลงสละประเด็นไว้แล้วตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่3 สิงหาคม 2538 ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
จำเลยฎีกาปัญหาข้อสุดท้ายว่า ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทรัพย์สินตามบันทึกการหย่าเป็นสินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยต้องปฏิบัติตามบันทึกการหย่านั้นหรือไม่ ซึ่งศาลจะต้องวินิจฉัยก่อนว่าทรัพย์สินตามบันทึกการหย่านั้นเป็นทรัพย์สินประเภทใดของจำเลย แล้วจึงวินิจฉัยว่าจำเลยต้องปฏิบัติตามบันทึกการหย่านั้นหรือไม่ แต่ศาลชั้นต้นได้สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยทำให้หาข้อยุติไม่ได้ดังกล่าว และเมื่อศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย โจทก์ก็ไม่ทักท้วง จึงถือว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบสนับสนุนตามฟ้อง ศาลต้องยกฟ้องโจทก์นั้น เห็นว่าอำนาจในการวินิจฉัยว่าตามคำฟ้อง คำให้การและคำรับของคู่ความเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังยุติได้หรือไม่ อย่างไรเป็นดุลพินิจของศาลที่จะกระทำได้โดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share