แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยได้แต่งทนายความต่อสู้คดีและให้ว่าความในชั้นขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้วจึงเห็นสมควรให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่ทนายจำเลยแทน ให้โจทก์นำส่งใน 7 วัน โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้น การที่โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแต่กลับยื่นคำร้องลงวันที่ 25 มิถุนายน 2540 ว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540โจทก์ได้วางหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยในศาลชั้นต้นโดยศูนย์หน้าบัลลังก์แล้ว ทั้ง ๆ ที่ในวันที่16 พฤษภาคม 2540 โจทก์ยังยืนยันว่าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยไม่ได้ เนื่องจากจำเลยได้รื้อถอนบ้าน อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยออกไป และในวันนัดไต่สวนคำร้อง ขออายัดทรัพย์ก่อนมีคำพิพากษา จำเลยมาศาลแต่ไม่ยอมรับ หมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โจทก์จึงขอให้ศาลสั่งประกาศ โฆษณาแจ้งให้จำเลยทราบทางหนังสือพิมพ์ ดังนี้ ถือได้ว่า โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร กำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วจึงเป็นการทิ้งฟ้องตาม มาตรา 174(2) กรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ประกอบมาตรา 132 ไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดี เป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจ เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดีแม้โจทก์จะทิ้งฟ้อง แต่ยัง ไม่สมควรจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความได้ว่ากล่าวกันในเนื้อหา แห่งคดีไปเสียทีเดียว ศาลฎีกาย่อมพิพากษากลับให้โจทก์จัดการนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แล้วดำเนินการต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยคืนมัดจำและชำระค่าปรับให้แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยหากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้นำที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสอง ในวันเดียวกันโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา จำเลยยื่นคำคัดค้าน
วันที่ 16 พฤษภาคม 2540 โจทก์ทั้งสองยื่นคำแถลงว่ายังส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยไม่ได้ เนื่องจากจำเลยได้รื้อถอนบ้านซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยไปแล้ว ขอให้ลงประกาศโฆษณาหนังสือพิมพ์ให้จำเลยทราบแทนการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย
ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำเลยได้แต่งทนายความต่อสู้คดีและให้ว่าความในชั้นขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้ว จึงเห็นสมควรให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่ทนายจำเลยแทนให้โจทก์ทั้งสองนำส่งภายใน 7 วันการส่งหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย
วันที่ 25 มิถุนายน 2540 โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่าจำเลยไม่ยอมรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยปราศจากเหตุอันชอบด้วยกฎหมายโจทก์ทั้งสองจึงใช้วิธีวางหมายต่อหน้าจำเลยในศาลโดยศูนย์หน้าบัลลังก์ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 บัดนี้ครบกำหนดยื่นคำให้การแล้ว แต่จำเลยมิได้ยื่นคำให้การและมิได้แจ้งเหตุขัดข้องภายในกำหนดเวลา ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและสืบพยานโจทก์ต่อไปฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่ทนายจำเลยแทนตัวจำเลยแล้ว ให้โจทก์ทั้งสองปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวโดยให้นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายใน 7 วัน
วันที่ 4 กรกฎาคม 2540 โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยวิธีวางหมายโดยศูนย์หน้าบัลลังก์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540แล้ว ถือว่าได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบแล้วหากโจทก์ทั้งสองส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่ทนายจำเลยอีกก็เป็นการไม่ชอบ ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดหลง แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งศาลชั้นต้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แล้ว ไม่มีเหตุเพิกถอนอนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยภายใน 7 วัน โดยมีคำสั่งเมื่อวันที่25 มิถุนายน 2540 ในคำร้องของโจทก์ทั้งสองลงวันที่25 มิถุนายน 2540 ซึ่งถือว่าโจทก์ทั้งสองทราบคำสั่งศาลชั้นต้นให้ปฏิบัติโดยชอบแล้วในวันดังกล่าว บัดนี้ครบกำหนด 7 วันแล้วโจทก์ทั้งสองมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยแต่อย่างใดถือว่าโจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยโจทก์ทั้งสองอ้างว่าโจทก์ทั้งสองได้วางหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยในศาลชั้นต้นโดยศูนย์หน้าบัลลังก์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540จึงไม่ต้องส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่ทนายจำเลยตามคำสั่งศาลชั้นต้น เห็นว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยได้แต่งทนายความต่อสู้คดีและให้ว่าความในชั้นขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้ว จึงเห็นสมควรให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่ทนายจำเลยแทน ให้โจทก์นำส่งใน 7 วัน โจทก์ทั้งสองมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่โจทก์ทั้งสองหาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ แต่กลับยื่นคำร้องลงวันที่ 25 มิถุนายน 2540 ว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 โจทก์ทั้งสองได้วางหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยในศาลชั้นต้นโดยศูนย์หน้าบัลลังก์แล้ว ทั้ง ๆ ที่ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2540 โจทก์ทั้งสองยังยืนยันว่าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยไม่ได้ เนื่องจากจำเลยได้รื้อถอนบ้านอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยออกไปและในวันนัดไต่สวนคำร้องขออายัดทรัพย์ก่อนมีคำพิพากษา จำเลยมาศาลแต่ไม่ยอมรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องขอให้ศาลสั่งประกาศโฆษณาแจ้งให้จำเลยทราบทางหนังสือพิมพ์ ดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว เป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 132 ให้ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียสารบบความได้แต่บทมาตรา 132 นี้ไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่าศาลต้องจำหน่ายคดีเป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจศาลฎีกาเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรจำหน่ายคดีเพื่อให้คู่ความได้ว่ากล่าวกันในเนื้อหาแห่งคดีไปเสียทีเดียว
พิพากษากลับ ให้โจทก์จัดการนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยใหม่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แล้วดำเนินการต่อไป