คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6470/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่าสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 จำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์ แม้ก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยขายบ้านพิพาทให้ส.โดยมีข้อตกลงให้ส. มีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ ดังนั้นการที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1789 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประกาศ ต่อมานายประกาศตกลงยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ถือสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าวเฉพาะส่วนด้านทิศใต้ เนื้อที่1 งาน 6 8/10 ตารางวา ต่อมา นายประกาศยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว โดยแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวออกมาเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 แต่ก่อนที่นายประกาศจะยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 4สิงหาคม 2531นายประกาศได้ให้จำเลยเช่าที่ดินด้านทิศเหนือของที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าว เนื้อที่ 35 ตารางวา มีกำหนด 3 ปีโดยจำเลยได้ปลูกสร้างบ้านไม้ชั้นเดียวพื้นเทคอนกรีตเป็นห้องแถว1 ห้อง เลขที่ 1/61 เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ได้บอกกล่าวขับไล่จำเลยและบริวาร โดยให้จำเลยรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวพร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โดยให้รื้อถอนบ้านไม้ชั้นเดียวพื้นเทคอนกรีตเป็นห้องแถว 1 ห้อง เลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137พร้อมทั้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิม โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์หากจำเลยไม่กระทำการดังกล่าว ให้โจทก์เป็นผู้กระทำการแทน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและห้ามจำเลยกับบริวารมิให้เกี่ยวข้องและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินของนายประกาศจริง ตามฟ้อง โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับโจทก์หรือที่ดินส่วนของโจทก์แม้สัญญาเช่าจะหมดอายุ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้องและก่อนครบกำหนดตามสัญญาเช่า จำเลยได้ตกลงขายบ้านเลขที่ 1/61 แก่นายสุรพล โดยมีข้อตกลงให้ผู้อื่นรื้อถอนบ้านดังกล่าวไปในเดือนกันยายน 2534 จำเลยจึงหมดหน้าที่ที่จะต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวและก่อนจะรื้อถอนจำเลยถูกนายโลม ฟ้องให้ชำระหนี้ ต่อมานายโลมได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดบ้านหลังดังกล่าวเพื่อนำออกขายทอดตลาด และนายสุรพลได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถรื้อถอนบ้านดังกล่าวได้ และโจทก์เรียกค่าเสียหายสูงเกินกว่าความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตามโฉนดเลขที่ 16137 โดยให้จำเลยและบริเวณขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนบ้านเลขที่ 1/61 ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าว และทำให้ที่ดินกลับคืนสภาพเดิมโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดและห้ามจำเลยและบริวารมิให้เข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์อีกต่อไป กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500บาท นับแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนบ้านและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่าจำเลยปลูกบ้านพิพาทในที่ดินของโจทก์โดยอาศัยสิทธิการเช่า และสัญญาเช่าได้ครบกำหนดแล้วตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2534 หลังจากนั้นจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์อีกเลย ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2534 จำเลยได้ขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์และเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ เห็นว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับเมื่อสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จำเลยก็ต้องส่งคืนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 561 โดยจำเลยจะต้องรื้อถอนบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่เช่าเพื่อส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนแก่โจทก์การที่จำเลยโอนขายบ้านพิพาทให้นายสุรพล โดยมีข้อตกลงให้นายสุรพลมีหน้าที่รื้อถอนบ้านพิพาทออกไปจากที่ดินที่จำเลยเช่าก็ดี และการที่บ้านพิพาทถูกเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีอื่นของจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ก็ดี หาเป็นเหตุให้จำเลยพ้นหน้าที่จะต้องส่งมอบที่ดินที่เช่าคืนให้โจทก์ตามผลของกฎหมายไม่ ดังนั้นการที่จำเลยไม่รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่เช่าของโจทก์เมื่อสิ้นกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าแล้ว โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยและบริวารรื้อบ้านพิพาท พร้อมขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามฟ้องได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share