คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้ค่างานงวดสุดท้ายตามสัญญาว่าจ้างก่อสร้างให้โจทก์ โดยจำเลยมิได้ทักท้วงว่าโจทก์ทำงานล่าช้ากว่ากำหนดและจะใช้สิทธิปรับโจทก์ตามสัญญาแต่อย่างไร คดีฟังได้ว่าจำเลยยอมต่ออายุสัญญาให้โจทก์โดยไม่ติดใจที่จะบังคับเอาเบี้ยปรับจำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับจากโจทก์โดยการหักจากหนี้เงินตามเช็คพิพาท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 109,650 บาทแก่โจทก์ และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 102,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องเดิมจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างถังเหล็กเก็บน้ำ2 ใบ ราคารวม 510,000 บาท แบ่งส่งมอบงานและชำระเงินเป็น 4 งวดกำหนดก่อสร้างให้เสร็จภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2527 หากไม่เสร็จตามสัญญาโจทก์ยินดีให้ปรับร้อยละ 0.25 ของค่าจ้างทั้งหมดต่อหนึ่งวันโจทก์ก่อสร้างไปแล้ว 3 งวด ส่วนงวดที่ 4 โจทก์ทำไม่เสร็จในกำหนดเพิ่งส่งมอบงานเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2527 ช้ากว่ากำหนด 55 วันจำเลยทั้งสองจึงปรับโจทก์ตามสัญญาเป็นเงิน 70,125 บาท เมื่อหักแล้วคงค้างโจทก์เพียง 31,875 บาท ไม่ใช่จำนวน 102,000 บาท ตามเช็คเพราะเช็คพิพาทจำเลยได้สั่งจ่ายล่วงหน้าก่อนหักค่าปรับ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็ค ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 31,875 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2527 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเงินจำนวนดังกล่าวแล้วเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ตามเช็คพิพาทแก่โจทก์เป็นเงิน 102,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2527 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 กรรมการผู้จัดการได้ว่าจ้างโจทก์ทำแท็งก์น้ำจำนวน 2 ถัง รวมราคา 510,000บาท กำหนดแล้วเสร็จภายใน 75 วัน แบ่งชำระราคาเป็น 4 งวดงวดแรกชำระในวันทำสัญญาจำนวน 102,000 บาท งวดที่ 2 ชำระเมื่อทำงานส่วนที่สองแล้วเสร็จจำนวน 153,000 บาท งวดที่ 3 ชำระเมื่อทำงานส่วนที่สองแล้วเสร็จจำนวน 153,000 บาท และงวดสุดท้ายชำระจำนวน 102,000 บาท เมื่อทำงานเสร็จเรียบร้อยและตรวจรับมอบงานแล้วหากทำงานล่าชช้าจะต้องถูกปรับร้อยละ 0.25 ต่อวัน ดังปรากฏตามสัญญาเอกสารหมาย ล.1 ต่อมาโจทก์ได้ทำงานตามที่รับจ้างจนรับเงินค่าจ้างไปแล้ว 3 งวด ส่วนงานงวดสุดท้ายโจทก์ทำไม่เสร็จตามกำหนดในสัญญาโดยล่าช้าไปตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ต่อมาจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เป็นการชำระหนี้สำหรับงานงวดสุดท้าย ครั้นเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีในธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่ายังไม่มีการตกลงกับธนาคาร
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยมีสิทธิเรียกเบี้ยปรับ เพราะโจทก์ทำงานล่าช้ากว่ากำหนดโดยการหักจากหนี้เงินตามเช็คพิพาทหรือไม่ เห็นว่าในปัญหานี้โจทก์โต้แย้งว่าจำเลยยอมต่ออายุสัญญาโดยไม่ติดใจเรียกเบี้ยปรับตามสัญญา ซึ่งโจทก์นำสืบว่าเหตุที่ทำงานล่าช้ากว่ากำหนดในสัญญา เพราะทางผู้ว่าจ้างของจำเลยอนุมัติแบบการก่อสร้างให้โจทก์ล่าช้า โจทก์ไม่อาจทำแท็งก์น้ำให้เสร็จตามกำหนดในสัญญาได้ โจทก์จึงได้มีหนังสือตามเอกสารหมาย ล.5 ถึงจำเลยขอต่ออายุสัญญาไปอีก 60 วันจำเลยได้แจ้งด้วยวาจาให้ต่อสัญญาโดยจะไม่ปรับโจทก์ ในข้อนี้โจทก์มีเอกสารหมาย ล.6 ซึ่งจำเลยเป็นผู้อ้างส่งศาลเองสนับสนุนว่าหลังจากโจทก์ทำงานตามที่รับจ้างงวดที่ 2 เสร็จแล้ว โจทก์ได้ทำหนังสือลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2527 ตามเอกสารหมาย ล.6 ให้จำเลยชำระเงินงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่เลยกำหนดตามสัญญาจ้างตามเอกสารหมาย ล.1 ที่ระบุว่าต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤษภาคม2527 จำเลยก็ยอมชำระเงินทั้งสองงวดดังกล่าวด้วยเช็คให้โจทก์ดังปรากฏตามใบรับเช็คที่จำเลยอ้างส่งศาลฉบับลงวันที่ 17 สิงหาคม2527 และฉบับลงวันที่ 10 ตุลาคม 2527 ตามเอกสารหมาย ล.3 ล.4โดยจำเลยมิได้ทักท้วงเรื่องโจทก์ทำงานล่าช้ากว่ากำหนด และจะใช้สิทธิปรับโจทก์ตามสัญญาแต่อย่างไร ทั้งจำเลยยังได้ทำหนังสือลงวันที่26 กรกฎาคม 2527 ตามเอกสารหมาย จ.2 ถึงธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาบางนา ซึ่งโจทก์มีบัญชีเงินฝากอยู่ว่า จำเลยไม่ขัดข้องการจ่ายเงินค่าจ้างดังกล่าวโดยระบุเลขบัญชีของโจทก์ที่มีอยู่ที่ธนาคารนั้นด้วย เมื่อโจทก์ทำงานงวดสุดท้ายเสร็จ โจทก์ได้ทำหนังสือถึงจำเลยขอส่งมอบงานและขอให้ชำระเงินงวดสุดท้าย จำเลยให้วิศวกรผู้ควบคุมงานเป็นผู้รับมอบงานแทน โดยจำเลยมิได้ทักท้วงว่าโจทก์ทำงานล่าช้าและบอกสงวนสิทธิว่าจะเรียกเอาเบี้ยปรับแต่อย่างไรทั้งยังได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ค่างานงวดสุดท้ายให้โจทก์ด้วย ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่ยอมต่ออายุสัญญาให้โจทก์ตามที่ขอมาในเอกสารหมาย ล.5 จำเลยมิได้ตอบปฏิเสธโจทก์เป็นหนังสือ เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งจำเลยยังสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์โดยมิได้หักจำนวนค่าปรับออกแต่อย่างไร ที่จำเลยอ้างว่าเหตุที่สั่งจ่ายจำนวนเงินเต็มตามสัญญา เพราะโจทก์ขอร้องเพื่อโจทก์จะได้นำไปขายให้ธนาคารแล้วจะนำเงินค่าปรับมาให้จำเลยนั้น เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุผล เพราะเมื่อโจทก์ขายเช็คพิพาทแล้วจะนำเงินค่าปรับมาชำระให้ แสดงว่าโจทก์ต้องการเงินตามสิทธิที่ควรจะได้เมื่อหักเงินค่าปรับออกแล้ว จำเลยก็น่าจะสั่งจ่ายเงินจำนวนที่หักค่าปรับแล้วมอบให้โจทก์ ก็จะไม่มีข้อยุ่งยากโดยไม่จำเป็นเลยข้อนำสืบของจำเลยว่ามิได้ต่ออายุสัญญาให้โจทก์และยังสงวนสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับจากโจทก์อยู่จึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักพอหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ คดีฟังได้ว่าจำเลยยอมต่ออายุสัญญาให้โจทก์โดยไม่ติดใจที่จะบังคับเอาเบี้ยปรับ จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับจากโจทก์โดยการหักจากหนี้เงินตามเช็คพิพาทจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คนั้น…”
พิพากษายืน.

Share