คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6452/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้คดีนี้เป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1490ซึ่งจำเลยและผู้ร้องจะต้องร่วมกันรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมโจทก์จึงชอบที่จะบังคับชำระหนี้จากสินสมรสได้ทั้งหมดเมื่อจำเลยนำที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้องไปจำนองเป็นประกันโจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จากที่ดินและบ้านพิพาทอันเป็นสินสมรสได้ทั้งหมดโดยไม่จำต้องฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1489ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนของตน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระโจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 126287 พร้อมบ้านเลขที่ 16/12 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ 3ที่จำนองเป็นประกันหนี้เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าที่ดินและบ้านดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 3 กับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงมีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งจำเลยที่ 3 เป็นหนี้โจทก์โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นยินยอม ขอให้กันส่วนของผู้ร้องออก
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบ.เกียรติชัยคอนสทรัคชั่น จำกัด นำที่ดินโฉนดเลขที่ 126287 พร้อมบ้านเลขที่ 16/12 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวไปจำนองเป็นประกันหนี้ของบริษัทเพิ่มสิน จำกัดเพราะบริษัทดังกล่าวกับบริษัทบ.เกียรติชัยคอนสทรัคชั่น จำกัดร่วมทำงานรับเหมาก่อสร้างทางจากกรมทางหลวงเพื่อแบ่งผลประโยชน์กัน โดยผู้ร้องรู้เห็นยินยอมในการจดทะเบียนจำนองจึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยที่ 3 กับผู้ร้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ยก คำ ร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ 126287 ตำบลปากเกร็ด (สีกัน) อำเภอปากเกร็ดจังหวัดนนทบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 16/12 ที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวซึ่งโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดมาเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ที่จำเลยที่ 3 กับพวกร่วมกันเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษานั้นเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 3 กับผู้ร้องที่ผู้ร้องยินยอมให้จำเลยที่ 3 นำไปจำนองค้ำประกันหนี้ในการประกอบธุรกิจของจำเลยที่ 3 และผู้ร้องกับพวกไว้ต่อโจทก์โดยจำเลยที่ 3 กับผู้ร้องเป็นลูกหนี้ร่วม และคดีนี้ โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 3 และพวกด้วย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาไว้เพียงข้อเดียวว่า โจทก์มิได้ฟ้องผู้ร้อง ผู้ร้องมีสิทธิกันส่วนในสินสมรสที่ถูกยึดไว้หรือไม่เห็นว่า หนี้คดีนี้เป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1490 ซึ่งจำเลยที่ 3 และผู้ร้องจะต้องร่วมกันรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วม โจทก์จึงชอบที่จะบังคับชำระหนี้จากสินสมรสได้ทั้งหมดเมื่อจำเลยที่ 3 นำที่ดินและบ้านพิพาท ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 3 กับผู้ร้องไปจำนองเป็นประกัน โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จากที่ดินและบ้านพิพาทอันเป็นสินสมรสได้ทั้งหมดโดยไม่จำต้องฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1489 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนของตน
พิพากษายืน

Share