แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยให้การยอมรับว่าได้ซื้อสินค้าตามฟ้องจริง จำเลยจึงมีหน้าที่ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ การที่จำเลยต่อสู้ว่าไม่มีภาระหน้าที่จะต้องชำระราคาสินค้าที่ซื้อขายกันให้แก่โจทก์โดยอ้างเหตุว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาที่แต่งตั้งให้จำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์แต่ผู้เดียวในประเทศไทยแล้วโจทก์กลับจำหน่ายสินค้าให้แก่นิติบุคคลหลายรายในประเทศไทยในราคาที่ต่ำกว่าจำหน่ายให้แก่จำเลย ทั้งโจทก์ได้รับประกันสินค้าเป็นเวลา 1 ปี นับจากวันที่ผู้ซื้อสินค้ารับสินค้าไปแต่โจทก์บ่ายเบี่ยงไม่ดำเนินการเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่โดยไม่คิดมูลค่า จึงเป็นการที่จำเลยได้ยกข้อต่อสู้ขึ้นมาใหม่เพื่อปัดความรับผิดที่จะไม่ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลย
โจทก์ส่งสินค้าให้จำเลยรับไปแล้ว ถือได้ว่ามีการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายแม้ว่าคำฟ้องหรือตามทางนำสืบของโจทก์จะไม่ได้ความว่า การสั่งซื้อสินค้าคดีนี้มีการทำสัญญาซื้อขายกัน หรือมีหลักฐานซื้อขายเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดก็ตาม โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระราคาสินค้าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ในระหว่างประมาณเดือนมิถุนายน 2540 ถึงเดือนสิงหาคม 2540 จำเลยสั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์หลายครั้งแล้ว จำเลยค้างชำระหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 1,153,446.23 ดอลลาร์สหรัฐ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,153,446.23 ดอลลาร์สหรัฐ และชำระดอกเบี้ยร้อยละ1 ต่อเดือน ในเงินต้น 977,337.12 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าตามฟ้องจริง แต่โจทก์ปฏิบัติผิดเงื่อนไขสัญญาทำให้จำเลยได้รับความเสียหายเป็นมูลค่าประมาณ30,000,000 บาท และยังเสียหายต่อไปอีกในอนาคต โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินค้าจากจำเลย จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ค่าสินค้าและดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า (1) โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่(2) จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายหรือไม่ (3) จำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์เพียงใด โดยเห็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างจำเลยปฏิเสธภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ และให้โจทก์นำสืบก่อนแล้วให้จำเลยสืบแก้ต่อมาเมื่อโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนหมดพยานโจทก์แล้ว ในระหว่างสืบพยานจำเลยศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้สอบถามโจทก์จำเลยเกี่ยวกับที่จำเลยขอให้หมายเรียกกรรมการผู้จัดการของบริษัท เอ แอนด์ แอล คอมพิวเตอร์ จำกัด มาสอบถามเกี่ยวกับการที่โจทก์ขายสินค้าให้บริษัท เอ แอนด์ แอล คอมพิวเตอร์ จำกัด ในราคาที่ต่ำกว่าขายให้แก่จำเลยอันเป็นการผิดสัญญาที่ตกลงไว้กับจำเลย ซึ่งเมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับฟังคำแถลงของโจทก์จำเลยแล้ว วินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยนั้น ในประเด็นข้อพิพาทที่ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายหรือไม่คลาดเคลื่อน น่าจะเป็นว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวอ้างขึ้นมาใหม่ภาระการพิสูจน์ย่อมควรตกแก่จำเลย อย่างไรก็ดีสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์เป็นราคา 500 บาท หรือกว่านั้นขึ้นไป ซึ่งทำกันเป็นหนังสือ มีทั้งโจทก์ จำเลยลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาต้องตามบทบัญญัติมาตรา 456 วรรคสอง และวรรคสามแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ว่าสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาห้าร้อยบาทหรือกว่านั้นขึ้นไป ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่จึงเป็นกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงตามมาตรา 94แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งคู่ความ (รวมทั้งจำเลย)จะขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างหนึ่งอย่างใด เมื่อนำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอีกไม่ได้โดยไม่เข้าข้อยกเว้นตามวรรคท้ายของมาตรา 94 ที่ว่า เป็นการนำสืบว่าเอกสารไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้ในเอกสารไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายตีความผิดเพราะในคำให้การของจำเลยไม่ปรากฏข้อต่อสู้ดังนี้ไว้ ฉะนั้น ถึงแม้จะเป็นข้อเท็จจริง ที่จำเลยยกขึ้นมากล่าวอ้างใหม่และมีภาระการพิสูจน์แต่จำเลยก็ไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบตามภาระการพิสูจน์ จึงไม่จำต้องตั้งประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวส่วนประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์เพียงใดนั้นเมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องราคาสินค้าจากจำเลย และจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องชำระราคาสินค้าพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามฟ้อง แต่เมื่อไม่จำเป็นต้องตั้งประเด็นว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเสียแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตั้งประเด็นนี้อีก จึงให้ยกเลิกประเด็นข้อพิพาททั้งสองนี้ คดีคงเหลือประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องสืบพยานจำเลยเกี่ยวกับประเด็นที่ยกเลิกแล้วส่วนประเด็นข้อพิพาทที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ทนายจำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานและได้คัดค้านคำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแล้ว
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,153,446.23 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ในเงินต้น 977,337.12 ดอลลาร์สหรัฐ นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 พฤศจิกายน 2541) เป็นต้นไปแก่โจทก์จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยชั้นนี้ตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งยกเลิกประเด็นข้อพิพาททั้งสองดังกล่าวชอบหรือไม่ เห็นว่า ในสัญญาซื้อขายนั้นนอกจากผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้แก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อก็มีหน้าที่ต้องชำระราคาให้แก่ผู้ขายเป็นการตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 486 ดังนั้น เมื่อจำเลยให้การยอมรับว่าได้ซื้อสินค้าตามฟ้องโจทก์จริง จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระราคาสินค้าที่ซื้อให้แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลาที่โจทก์ให้สินเชื่อแก่จำเลย การที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่มีภาระหน้าที่จะต้องชำระราคาสินค้าที่ซื้อขายกันให้แก่โจทก์ โดยอ้างเหตุว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ตั้งให้จำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์แต่ผู้เดียวในประเทศไทยแล้วโจทก์กลับจำหน่ายสินค้าให้แก่นิติบุคคลหลายรายในประเทศไทยในราคาที่ต่ำกว่าจำหน่ายให้แก่จำเลย ทั้งโจทก์ได้รับประกันสินค้าเป็นเวลา 1 ปี นับจากวันที่ผู้ซื้อสินค้ารับสินค้าไปแต่โจทก์บ่ายเบี่ยงไม่ดำเนินการเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่โดยไม่คิดมูลค่า จึงเป็นการที่จำเลยได้ยกข้อต่อสู้ขึ้นมาใหม่เพื่อปัดความรับผิดที่จะไม่ชำระราคาสินค้าให้แก่โจทก์ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยดังเช่นที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยนั้นชอบแล้ว แต่การที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคลหรือพยานเอกสารถึงการซื้อขายสินค้าระหว่างโจทก์จำเลยตามฟ้องนั้นว่ามีข้อตกลงกันไว้ดังกล่าวและโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ดังเช่นที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยหรือไม่นั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456วรรคสองและวรรคสามเกี่ยวกับการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาห้าร้อยบาทหรือกว่านั้นขึ้นไปนั้นนอกจากจะบัญญัติให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้แล้ว ยังได้บัญญัติไว้อีกว่า”…หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว…” ก็ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เช่นกัน ซึ่งตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์แม้จะไม่ได้ความว่าในการสั่งซื้อสินค้าคดีนี้ โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายกัน หรือได้มีหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายโจทก์หรือจำเลยผู้ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญไว้ แต่ได้ความว่าโจทก์ได้ส่งสินค้าตามฟ้องให้จำเลยรับไปแล้วตามที่จำเลยสั่งซื้อ อันถือได้ว่าได้มีการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายคือโจทก์ส่งมอบสินค้าให้จำเลยไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระราคาสินค้าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456… ”
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง และให้ยกคำสั่งที่ให้ยกเลิกประเด็นข้อพิพาทข้อ (2) และข้อ (3) ด้วย ให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้จำเลยนำพยานหลักฐานเข้าสืบต่อในประเด็นข้อพิพาททั้งสองจนสิ้นกระแสความก่อนแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่