คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6442/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ดวงไฟที่อยู่ที่บ้านใกล้เคียงห่างจากบ้านที่ผู้เสียหายพบคนร้ายครั้งแรกประมาณ 20 เมตร ไม่ปรากฏว่าดวงไฟดังกล่าวมีแสงสว่างขนาดกี่แรงเทียนมีความสว่างเพียงใด แสดงว่าบริเวณที่เกิดเหตุที่คนร้ายหอบของออกจากประตูหลังห้องนั้นไม่มีแสงสว่างเพียงพอ การที่คนร้ายกล้าเดินผ่านผู้เสียหายไปแสดงว่าบริเวณที่คนร้ายเดินสวนทางกับผู้เสียหายก็ไม่มีแสงสว่างอีกทั้งผู้เสียหายไม่เคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะจำหน้าคนร้ายได้ แม้ ว. อาสาสมัครของสถานีตำรวจจะพบจำเลยเดินมาในลักษณะแต่งกายตรงกับที่รับแจ้งและนำตัวจำเลยมาให้ผู้เสียหายชี้ตัว ซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายก็ตาม แต่จุดที่พบจำเลยอยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 700 เมตร และไม่พบของกลางที่จำเลย แม้จะได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายใน ห้องพักของจำเลย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าระหว่างที่คนร้ายหลบหนีได้ขึ้นไปบนห้องพักของจำเลยแต่อย่างใด นอกจากนี้ อ.พยานโจทก์ได้ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานพบผู้เสียหายและจำเลยก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง สภาพจำเลยมีอาการมึนเมาพูดจาไม่รู้เรื่อง ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของ จำเลยที่ว่าไปดื่มสุราที่บ้าน บ. มา เมื่อพิเคราะห์ พยานหลักฐานโจทก์กับพยานหลักฐานจำเลยแล้ว คดีจึงมีเหตุ สงสัยตามสมควรว่าผู้เสียหายจะจำหน้าจำเลยได้จริงหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(3)(8), 357
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(3)(8) วรรคสาม จำคุก 1 ปี และยกฟ้องฐานรับของโจร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์รายนี้หรือไม่ โจทก์มีนางยุภา บุญจันทร์ผู้เสียหายเพียงปากเดียวเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าก่อนออกจากห้องใส่กลอนและใส่กุญแจห้องต่อมาเวลา 22 นาฬิกาเศษพยานเห็นไฟในห้องเปิดอยู่เกิดความสงสัยจึงเดินกลับไปที่ห้องก่อนจะถึงห้องประมาณ 2 เมตร เห็นไฟในห้องปิด จึงยืนแอบดูที่มุมตึกเห็นจำเลยหอบสิ่งของออกจากห้อง เมื่อจำเลยเห็นพยานได้ถอยหลังไปที่มุมตึก บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟจากห้องด้านหลังห่างไปประมาณ 5 เมตร สามารถมองได้ชัดเจนในรัศมีประมาณ 10 เมตรหลังจากนั้นจำเลยเดินออกมาและเดินผ่านพยานออกไปทางซอยหลอแหลเมื่อห่างจากพยานประมาณ 15 เมตร จำเลยวิ่งไปทางปากซอยพยานวิ่งตามออกไปและเรียกให้ชาวบ้านช่วยจับ แต่ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าหน้าบ้านและหลังบ้านไม่มีไฟ และสิบตำรวจโทดิเรกอยู่รอด ผู้จับกุมจำเลยเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่ารั้วหลังบ้านพักของผู้เสียหายอยู่ห่างจากด้านหลังประมาณ 10 เมตรและบ้านบุคคลอื่นอยู่ห่างรั้วออกไปอีกประมาณ 10 เมตรเศษเห็นว่า ดวงไฟที่อยู่ที่บ้านใกล้เคียงห่างจากหลังบ้านที่ผู้เสียหายพบคนร้ายครั้งแรกประมาณ 20 เมตร และไม่ปรากฏว่าดวงไฟดังกล่าวมีแสงสว่างขนาดกี่แรงเทียน มีความสว่างเพียงใดผู้เสียหายเบิกความว่าสามารถมองเห็นคนร้ายได้ชัดเจนในรัศมีประมาณ 10 เมตร แสดงว่า บริเวณที่เกิดเหตุที่คนร้ายหอบของออกจากประตูหลังห้องนั้นไม่มีแสงสว่างเพียงพอการที่คนร้ายกล้าเดินผ่านผู้เสียหายไป แสดงว่าบริเวณที่คนร้ายเดินสวนทางกับผู้เสียหายก็ไม่มีแสงสว่าง อีกทั้งผู้เสียหายไม่เคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะจำหน้าคนร้ายได้ แม้นายวิรัตน์ จันทสิทธิ์ อาสาสมัครของสถานีตำรวจนครบาลบางชันจะพบจำเลยเดินมาในลักษณะแต่งกายตรงกับที่รับแจ้งและนำตัวจำเลยมาให้ผู้เสียหายชี้ตัวซึ่งผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายก็ตาม แต่จุดที่พบจำเลยอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 700 เมตร และไม่พบของกลางที่จำเลยแม้จะได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบนาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายในห้องพักของจำเลย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าระหว่างที่คนร้ายหลบหนีได้ขึ้นไปบนห้องพักของจำเลยแต่อย่างใด อีกทั้งได้ความจากคำเบิกความของนางอุไร ทองงาม ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า พยานพบผู้เสียหายและจำเลยก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงสภาพจำเลยมีอาการมึนเมาพูดจาไม่รู้เรื่องสอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าไปดื่มสุราที่บ้านนายบรรจบ เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์กับพยานหลักฐานจำเลยแล้ว คดีจึงมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าผู้เสียหายจะจำหน้าจำเลยได้จริงหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share