คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกที่หลบหนี โดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไป ซึ่งผู้เสียหายโดยร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงความจริงจำเลยกับพวกมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารผู้เสียหายถูกจำเลยกับพวกพาตัวไปพักที่โรงแรม พ. พวกของจำเลยที่หลบหนีได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่หลายครั้ง ดังนั้น เมื่อตามคำฟ้องและทางพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาดังกล่าว ซึ่งโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งให้รับข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น จึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของ พ. ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน จำเลยที่ 1จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 การที่จำเลยที่ 1 ใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายแล้ว พ.พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารดังกล่าว ก็โดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังและบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายค้ำประเวณีในเวลาต่อมา การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันไปโดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเพียงประการเดียว จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษจำเลยที่ 1บทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรกเพียงกระทงเดียว หาใช่เป็นความผิดตามมาตรา 283 วรรคแรก,83 กระทงหนึ่ง และมาตรา 283 วรรคแรก,284 วรรคแรกอีกกระทงหนึ่ง ไม่

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 จำเลยในสำนวนที่ 2ว่าจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในสำนวนที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3ถึงที่ 7 ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม2532 เวลากลางคืน จำเลยทั้งเจ็ด กับพวกที่ยังหลบหนีเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นและจำเลยที่ 2 เอง เป็นธุระจัดหาล่อไปหรือชักพาไปซึ่งนางสาวสุวรรณ์ พิมพ์สิงห์ ผู้เสียหายอายุ 18 ปี โดยใช้อุบายหลอกลวงว่าจะพาไปเป็นลูกจ้างช่วยขายรองเท้าความจริงแล้วมีเจตนาพาไปเพื่อการอนาจารผู้เสียหายหลงเชื่อจึงถูกจำเลยทั้งเจ็ดกับพวกพาไปจากนายส่วนและนางสมบัติพิมพ์สิงห์ บิดามารดาจากตำบลโนนทัน อำเภอหนองเรือจังหวัดขอนแก่น ไปพักที่โรงแรมแสนสำราญในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่นแล้วนายไพรวัลย์ ประทุมบุญ พวกของจำเลยทั้งเจ็ดและจำเลยที่ 2ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหลายครั้งโดยขู่เข็ญและใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้และต่อมาระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2532 ถึงวันที่ 13 มกราคม 2533เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยทั้งเจ็ดกับพวกได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังข่มขืนใจให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหาพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร โดยพาไปตามสถานบริการต่าง ๆ เพื่อให้ชายอื่นสำเร็จความใคร่กับผู้เสียหาย โดยจำเลยกับพวกขู่เข็ญบังคับผู้เสียหายเหตุความผิดดังกล่าวเกิดที่ตำบลโนนทัน อำเภอหนองเรือตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เกี่ยวพันกันขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 283 วรรคแรก, 284, 310 กับขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276 วรรคแรก,283 วรรคแรก, 310
จำเลยทั้งเจ็ดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 283 วรรคแรก, 310 วรรคแรกการกระทำเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 283 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกคนละ 5 ปี และจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 283 วรรคแรก, 284 วรรคแรก ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 283 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 5 ปี อีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปีคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 6 ยื่นคำร้องขอถอนฎีกาศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 6 จากสารบบความของศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นภริยาของจำเลยที่ 2 และเป็นน้องสาวจำเลยที่ 5จำเลยที่ 3 เป็นมารดาของนายไพรวัลย์ ประทุมบุญ จำเลยที่ 4เป็นสามีจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 4 ที่ 5 เป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 6คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ว่าจำเลยดังกล่าวได้กระทำผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามาหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ดังที่ผู้เสียหายเบิกความพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 กับนายไพรวัลย์ไปหลอกลวงผู้เสียหายที่บ้าน การนัดหมายที่นายไพรวัลย์พาผู้เสียหายไปพบจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แล้วพากันไปที่บ้านจำเลยที่ 5และจำเลยที่ 7 ตลอดจนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันควบคุมผู้เสียหายและพาผู้เสียหายไปบังคับให้ค้าประเวณี แล้วต่อมานายไพรวัลย์ได้นำผู้เสียหายเดินทางเพื่อไปทำงานเป็นหญิงบริการในสถานอาบอบนวดที่อำเภอหาดใหญ่ และประเทศมาเลเซียต่อไปนั้น เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 กับพวกดังกล่าวได้ร่วมกันกระทำความผิดเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งผู้เสียหายโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ทั้งนี้ โดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น และเพื่อการอนาจาร โดยใช้อุบายหลอกลวง และใช้วิธีขู่เข็ญบังคับ กับหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายจริง
แต่อย่างไรก็ดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปเพื่อให้นายไพรวัลย์ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยใช้อุบายหลอกลวงว่านายไพรวัลย์มีงานให้ผู้เสียหายทำ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 วรรคแรก, 284 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่งด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กับพวกที่หลบหนีโดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไป ซึ่งผู้เสียหายโดยร่วมกันใช้อุบายหลอกลวง ความจริงจำเลยกับพวกมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารผู้เสียหายถูกจำเลยกับพวกพาตัวไปพัก ซึ่งผู้เสียหายโดยร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงความจริงจำเลยกับพวกมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารผู้เสียหายถูกจำเลยกับพวกพาตัวไปที่โรงแรมแสนสำราญนายไพรวัลย์ ประทุมบุญ พวกของจำเลยที่หลบหนีได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่หลายครั้ง ดังนั้น เมื่อตามคำฟ้องและทางพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังมาดังกล่าวซึ่งโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งให้รับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น จึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของนายไพรวัลย์ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 1ใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายแล้วนายไพรวัลย์พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารดังกล่าว ก็โดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังและบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายค้าประเวณีในเวลาต่อมา การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันไปโดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเพียงประการเดียว จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 บทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรกเพียงกระทงเดียว ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 283 วรรคแรก, 83 จำคุก 5 ปี เพียงกระทงเดียวนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share