คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6418/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 7.9 ตารางวา แม้มีราคาประเมินตารางวาละ 750 บาท แต่จำเลยได้ปลูกสร้างโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์บนที่ดินพิพาทติดกับร้านค้าของจำเลย แสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทอยู่ในที่เจริญ หากจำเลยไม่ปลูกสร้างโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์รุกล้ำ โจทก์อาจนำที่ดินพิพาทไปปลูกสร้างอาคารให้เช่าหรือปลูกอาคารพาณิชย์หาประโยชน์ได้ ทั้งสภาพของโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์ดังกล่าวเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กมีสภาพมั่นคงแข็งแรงสามารถใช้งานได้ 10 ถึง 20 ปี กว่าจะสลายไปตามสภาพ ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์ไม่ได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นอย่างมาก แม้ราคาที่ดินหากซื้อขายกันในขณะนี้จะมีราคาต่ำกว่าค่าใช้ที่ดินที่ศาลกำหนดให้ แต่หากพิจารณาถึงอนาคตแล้วราคาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดให้ใช้จำนวน 200,000 บาทนั้นจึงเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6448 เนื้อที่ 2 ไร่ 4 ตารางวา จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ทั้งสอง จำเลยสร้างโรงเก็บรถยนต์รุกล้ำที่ดินโจทก์ทั้งสองด้านทิศตะวันออก เนื้อที่7.9 ตารางวา โดยไม่สุจริต ขอให้ขับไล่จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ทั้งสอง และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ทั้งสองอีก หากไม่สามารถบังคับจำเลยได้ให้จำเลยเสียค่าใช้ที่ดินแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน 400,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ และหากภายหลังเมื่อสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่รุกล้ำสลายไป ห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ทั้งสองอีก
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 16766 อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่ดินโจทก์ทั้งสอง หลังจากจำเลยซื้อที่ดินแล้วได้ปลูกสร้างโรงเรือนโดยสุจริตโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6448 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนางศรีเสงี่ยมและนายโชติในราคา 500,000 บาท สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวราคาประมาณ 200,000 บาท ดังนั้นราคาที่ดินของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นเงินประมาณ 300,000 บาท การที่โจทก์ทั้งสองเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงิน 400,000 บาท จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเมื่อจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินโจทก์ทั้งสองโดยสุจริต จำเลยจึงมีสิทธิจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโจทก์ทั้งสองในส่วนที่รุกล้ำ ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 6448 เฉพาะส่วนที่โรงเรือนของจำเลยรุกล้ำ โดยกำหนดค่าใช้ที่ดินราคาตารางวาละ 375 บาท หากโจทก์ทั้งสองไม่ไปดำเนินการจดทะเบียนภารจำยอม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินโจทก์ทั้งสองโดยไม่สุจริต เนื่องจากจำเลยรู้ว่าแนวเขตที่ดินจำเลยอยู่ที่ใด เพราะมีหลักเขตของทางราชการฝังไว้เป็นเครื่องหมาย ที่ดินโจทก์ทั้งสองในส่วนที่ถูกจำเลยรุกล้ำนั้นอยู่ติดถนนใหญ่และอยู่ในย่านการค้า ปัจจุบันราคาสูงขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้โจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนสิทธิเป็นภารจำยอมในโฉนดเลขที่ 6448 เฉพาะส่วนที่รุกล้ำ เนื้อที่7.9 ตารางวา หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า การที่ศาลล่างกำหนดให้จำเลยใช้ค่าที่ดินจำนวน 200,000 บาทแก่โจทก์เหมาะสมแล้วหรือไม่ จำเลยอ้างเหตุว่า ค่าใช้ที่ดินที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดนั้นสูงกว่าความเป็นจริงอย่างมาก เพราะจำนวนเงินดังกล่าวเป็นค่าใช้ที่ดินเท่านั้นราคาที่ดินพิพาทมีราคาประเมินเพียงตารางวาละ 750 บาท ค่าใช้ที่ดินจึงไม่ควรมากกว่าราคาซื้อขายที่ดิน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 7.9 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 6448ของโจทก์ ที่ดินดังกล่าวติดกับถนนช่อแฮ จำเลยได้ปลูกสร้างโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์บนที่ดินพิพาท ซึ่งโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์ปลูกติดกับร้านค้าของจำเลย แสดงให้เห็นว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในที่เจริญ หากจำเลยไม่ปลูกโกดังเก็บสินค้าหรือโรงเก็บรถยนต์รุกล้ำ โจทก์อาจนำที่ดินพิพาทไปปลูกสร้างอาคารให้เช่าหรือปลูกอาคารพาณิชย์หาประโยชน์ได้ทั้งสภาพของโกดังเก็บสินค้าหรือโรงรถยนต์ดังกล่าวเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กมีสภาพมั่นคงแข็งแรงสามารถใช้งานได้ 10 ถึง 20 ปี กว่าจะสลายไปตามสภาพซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์ขาดประโยชน์ไม่ได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นอย่างมาก แม้ราคาที่ดินหากซื้อขายกันในขณะนี้จะมีราคาต่ำกว่าค่าใช้ที่ดินที่ศาลกำหนดให้ แต่หากพิจารณาถึงในอนาคตแล้วราคาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดให้ใช้จำนวน 200,000 บาท นั้นเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน

Share