คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6409/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะเพิ่งตั้งให้ส. เข้ามาเป็นทนายความของจำเลยในชั้นอุทธรณ์แต่จำเลยก็มิได้แถลงให้ศาลทราบว่าไม่ต้องการให้ว. ทนายความคนก่อนเป็นทนายความของจำเลยต่อไปหรือยื่นคำร้องขอถอนว. จากการเป็นทนายความของจำเลยว. จึงยังเป็นทนายความของจำเลยอยู่และมีอำนาจขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 17,351,658.29 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินจำนองไว้ออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้โจทก์ ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่27 ตุลาคม 2536 ต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2536นายสุพจน์ ทองเย็น ทนายความจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ โดยอ้างเหตุว่าเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทนายจำเลยทั้งสอง มีความจำเป็นต้องรวบรวมเอกสารกับทราบข้อเท็จจริงก่อนจะยื่นอุทธรณ์ และคดีมีทุนทรัพย์สูง ขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ไป 30 วันศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีกเพียง15 วัน นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์ วันที่ 7 ธันวาคม 2536นายวีระชัย อารมย์สุขทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไปอีก 15 วัน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งแรก วันที่ 9 ธันวาคม 2536 นายสุพจน์ทนายจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไปอีก 15 วันนับแต่วันครบกำหนดขยายระยะเวลาอุทธรณ์ในครั้งแรกโดยอ้างเหตุว่าทนายจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นขอถ่ายคำพิพากษา คำให้การพยานโจทก์และจำเลยแต่เจ้าหน้าที่ศาลยังดำเนินการถ่ายเอกสารดังกล่าวให้ไม่แล้วเสร็จตามใบรับเอกสารของศูนย์ถ่ายเอกสารที่แนบท้ายคำร้องและคดีนี้มีทุนทรัพย์สูง กับมีเอกสารเป็นจำนวนมากเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2536นายวีระชัย อารมย์สุข ทนายจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์ไว้ โดยอ้างว่าได้รับสำเนาคำพิพากษาแล้วและศาลได้อนุญาตให้ขยายเวลาอุทธรณ์ออกไป 15 วันไว้แล้วจึงไม่มีเหตุที่อนุญาตให้อีก ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้แต่งตั้งให้นายสุพจน์ ทองเย็น เข้ามาดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์แสดงให้เห็นว่าไม่ประสงค์ให้นายวีระชัย อารมย์สุข ดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อีกต่อไป การที่นายวีระชัยยื่นคำร้องลงวันที่7 ธันวาคม 2536 ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่สองออกไปอีก 15 วัน และศาลชั้นต้นอนุญาต นายสุพจน์ไม่ทราบ จึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2536 อีกเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต นายสุพจน์ก็ไม่ทราบถึงเหตุผลที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต จำเลยทั้งสองมิได้อนุญาตให้นายวีระชัยดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสองขยายระยะเวลาอุทธรณ์รวม2 ครั้ง ซึ่งมีเวลาถึงวันที่ 26 ธันวาคม 2536 มีเวลาเพียงพอที่จะยื่นอุทธรณ์ได้ จึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่าแม้จำเลยทั้งสองจะเพิ่งตั้งให้นายสุพจน์เข้ามาเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองในชั้นอุทธรณ์ แต่จำเลยทั้งสองก็มิได้แถลงให้ศาลทราบว่าไม่ต้องการให้นายวีระชัยเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองต่อไป หรือยื่นคำร้องขอถอนนายวีระชัยจากการเป็นทนายความของจำเลยทั้งสอง คำร้องของ นายสุพจน์ทนายความจำเลยทั้งสองลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2536ซึ่งเป็นทนายความจำเลยทั้งสองด้วยกันไม่อาจแปลความได้ว่านายวีระชัยได้กระทำการในฐานะทนายความของจำเลยทั้งสองไปโดยปราศจากอำนาจ นายวีระชัยจึงยังเป็นทนายความของจำเลยทั้งสองอยู่และมีอำนาจขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่ทราบหาได้ไม่ทั้งการกระทำดังกล่าวก็ได้กระทำไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของจำเลยทั้งสองนั่นเองส่วนกรณีที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ที่นายสุพจน์เป็นผู้ยื่นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2536 จำเลยทั้งสองทราบเพียงว่าไม่อนุญาต แต่ไม่ทราบเหตุผลนั้น หากเป็นความจริงก็เป็นเรื่องที่นายสุพจน์ขาดการเอาใจใส่ดูแลให้ละเอียดถี่ถ้วน ไม่ใช่เป็นเพราะศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษาถูกต้องชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความบกพร่องของจำเลยทั้งสองและทนายความของ จำเลยทั้งสองเอง
พิพากษายืน

Share