คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6404/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำบังคับที่ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ภายใน 30 วัน เป็นกำหนดเวลาที่ให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระหนี้เอง หากไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด โจทก์ย่อมร้องขอให้ใช้วิธีการบังคับยึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองได้ และแม้จำเลยไม่ชำระหนี้จนพ้นกำหนดตามคำบังคับและ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้เข้ายึดทรัพย์สินแล้วก็ไม่ปิดทางให้จำเลยทั้งสองยอมชำระหนี้ด้วยความสมัครใจ การที่จำเลยที่ 1ยอมส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ไม่ต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไป ไม่มีเหตุที่โจทก์จะปฏิเสธการรับรถยนต์ ผลคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้สองรายการ คือ คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ ราคากับจำเลยทั้งสองต้องชำระค่าเสียหายจำนวนหนึ่งการบังคับคดีโจทก์ต้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นอันดับแรก และยึดทรัพย์สินอื่นเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้เงินตามรายการหลัง โจทก์ไม่ได้นำยึดรถยนต์เพียงแต่นำยึดที่ดินเพื่อหวังขายทอดตลาดชำระหนี้เงิน ต่อมาจำเลยที่ 1นำรถยนต์ไปคืนให้โจทก์โดยวางต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้รถยนต์แล้ว ข้อที่ว่าหากคืนไม่ได้ให้ชดใช้ราคาจึงไม่เกิดขึ้น เมื่อจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อและค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางแม้เป็นการชำระหนี้หลังจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี ก็ไม่มีเหตุที่จะขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไปอีก เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 250,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายก่อนฟ้องเป็นเงิน 80,000 บาท และค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องอีกเดือนละ 3,000 บาท จนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทน แต่ทั้งนี้ไม่เกินกำหนด 6 เดือน ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดต่อมาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2539 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างการประกาศขายทอดตลาด จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อพร้อมค่าเสียหายไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีเจ้าพนักงานสำนักงานวางทรัพย์กลางมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ไปรับทรัพย์ที่วางโจทก์มีหนังสือปฏิเสธการขอรับทรัพย์ที่วางต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า สำนักงานวางทรัพย์กลางได้มีคำสั่งรับวางทรัพย์เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2539ผลแห่งการวางทรัพย์ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331 เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องถอนการยึดทรัพย์ไป
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1 ทราบคำบังคับโดยชอบ แต่หาได้ปฏิบัติตามระยะเวลาที่กำหนดในคำบังคับไม่ ขอให้ไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งว่าการวางทรัพย์ของจำเลยที่ 1ไม่ชอบ และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า การวางทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และการรับวางทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษา ทั้งปรากฏตามคำร้องเป็นเพียงการคาดเดาของโจทก์ว่ารถยนต์พิพาทที่จำเลยที่ 1 นำมาวางน่าจะไม่อยู่ในวิสัยที่จะใช้บานได้ดี คำร้องของโจทก์จึงไม่มีเหตุที่จะไต่สวน ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามคำบังคับที่ระบุให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ภายในเวลา 30 วันนั้น เป็นกำหนดเวลาที่ให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระหนี้เอง หากไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา โจทก์ย่อมร้องขอให้ใช้วิธีการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองได้และถึงแม้จำเลยทั้งสองจะไม่ชำระหนี้จนพ้นกำหนดตามคำบังคับและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้เข้ายึดทรัพย์สินแล้วก็มิใช่จะปิดทางที่จะให้จำเลยทั้งสองยอมชำระหนี้ด้วยความสมัครใจเพราะการบังคับคดีก็เพื่อประสงค์ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จนครบ การที่จำเลยที่ 1ยอมส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์ที่ไม่ต้องดำเนินการบังคับคดีต่อไปไม่มีเหตุที่โจทก์จะปฏิเสธการรับรถยนต์ ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่ต้องส่งมอบไปวางต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์หลังจากมีคำบังคับแล้วหลายปี หากโจทก์ยอมรับรถยนต์นั้นไปก็เป็นรถยนต์ที่ชำรุดแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้มีผลคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้รวมสองรายการ รายการแรกเป็นหนี้รถยนต์ จำเลยทั้งสองต้องนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนให้แก่โจทก์หากคืนไม่ได้จึงจะชดใช้ราคาแทน รายการหลังเป็นหนี้เงินจำเลยทั้งสองจะต้องชำระค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนหนึ่งการบังคับคดีโจทก์ต้องนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อตามหนี้อันดับแรก และยึดทรัพย์สินอื่นเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้เงินตามรายการหลังแต่โจทก์มิได้นำยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อเพียงแต่นำยึดที่ดินเพื่อหวังขายทอดตลาดชำระหนี้เงินต่อมาเมื่อจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนให้โจทก์โดยวางต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้รถยนต์เสร็จสิ้นแล้ว ข้อที่วาหากคืนรถยนต์ไม่ได้ให้ชดใช้ราคาแทนจึงไม่เกิดขึ้น โจทก์จะยืนยันให้ขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดเพื่อชดใช้ราคารถไม่ได้เพราะไม่มีหนี้รถยนต์แล้ว เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อและค่าเสียหายพร้อมค่าธรรมเนียมไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลาง ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนทุกรายการแล้ว แม้เป็นการชำระหนี้หลังจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1ตามหมายบังคับคดีเพื่อบังคับตามคำพิพากษาก็ตามก็ไม่มีเหตุที่จะขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไปอีก เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) ไปจึงชอบแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกคำร้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share