คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6400/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้จาก ก. ผู้กู้ ตามทางนำสืบของจำเลยผู้ค้ำประกัน แต่เป็นการชำระหนี้รายอื่น โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้กู้ยืมรายพิพาท และพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า เมื่อโจทก์รับว่าได้รับเงินจาก ก. แต่ปฏิเสธว่าเป็นการชำระหนี้รายอื่นที่ ก. มีต่อโจทก์ โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบพยานหลักฐานให้รับฟังได้ตามคำปฏิเสธของโจทก์ โจทก์ไม่นำสืบพยานเช่นว่านั้น จำต้องฟังข้อเท็จจริงว่า ก. ชำระหนี้กู้ยืมรายพิพาทแล้ว ดังนี้ เป็นการยกข้อกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบและการรับฟังพยานหลักฐานในประเด็นข้อพิพาทเดิมขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ได้เป็นการตั้งประเด็นใหม่หรือยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นใหม่แต่อย่างใด ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
โจทก์ฟ้องว่า ก. กู้ยืมเงินโจทก์โดยที่จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ก. ไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แทน จำเลยให้การว่า ก. ชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว เมื่อโจทก์รับว่าได้รับชำระหนี้จาก ก. จริง แต่เป็นการชำระหนี้รายอื่นที่ ก. มีต่อโจทก์ ไม่ได้ชำระหนี้รายพิพาท จึงเป็นการที่โจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ โจทก์มีภาระการพิสูจน์และมีหน้าที่ต้องนำสืบพยานหลักฐานให้รับฟังได้ตามข้ออ้างของโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ข้อเท็จจริงต้องรับฟังว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้รายพิพาทจาก ก. แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินที่กู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยจำนวน ๗๐,๕๐๐ บาท โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนางจำรัส เด็กหญิงหรือนางสาววิไล และเด็กชายหรือนายธีระพงษ์ ทายาทของนายกุหลาบเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต แต่จำเลยร่วมทั้งสามไม่มาศาลและไม่ได้ยื่นคำให้การและโจทก์ (ที่ถูกเป็นจำเลย) มิได้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าจำเลยร่วมทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยร่วมทั้งสามออกจากสารบบความ (ที่ถูกคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีอย่างคดีมโนสาเร่ ศาลชั้นต้นต้องดำเนินกระบวนพิจารณาโดยถือว่าจำเลยร่วมทั้งสามขาดพิจารณา)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๒ ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง (วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๔๒) ให้ไม่เกิน ๔๐,๕๐๐ บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรยกปัญหาตามคำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ว่า ฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่านายกุหลาบกู้ยืมเงินโจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน นายกุหลาบไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์จึงขอบังคับจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันใช้เงินให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยแทนนายกุหลาบ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า นายกุหลาบชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยโจทก์รับเงินของนายกุหลาบจากบัญชีเงินฝากของนายกุหลาบที่ธนาคาร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า นายกุหลาบชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาทให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้จากนายกุหลาบ โดยโจทก์รับเงินของนายกุหลาบจากบัญชีเงินฝากของนายกุหลาบที่ธนาคารตามทางที่จำเลยนำสืบ แต่เป็นการชำระหนี้รายอื่นที่นายกุหลาบมีต่อโจทก์ ไม่ได้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาท และพิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันใช้เงินแก่โจทก์แทนนายกุหลาบตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะเงินของนายกุหลาบที่โจทก์ได้รับจากบัญชีเงินฝากของนายกุหลาบที่ธนาคาร เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาท เป็นฎีกาในประเด็นข้อพิพาทอย่างเดียวกับที่จำเลยให้การต่อสู้คดีในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ที่จำเลยกล่าวในฎีกาว่า เมื่อโจทก์รับว่าโจทก์ได้รับเงินจากบัญชีเงินฝากของนายกุหลาบที่ธนาคารตามที่จำเลยนำสืบ แต่ปฏิเสธว่าเป็นการชำระหนี้รายอื่นที่นายกุหลาบมีต่อโจทก์ ไม่ได้เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาท โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบพยานหลักฐานให้รับฟังได้ตามคำปฏิเสธของโจทก์ โจทก์ไม่นำสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าการชำระหนี้ของนายกุหลาบแก่โจทก์เป็นการชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาท เป็นการยกข้อกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบและการรับฟังพยานหลักฐานในประเด็นข้อพิพาทเดิมขึ้นโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่ได้เป็นการตั้งประเด็นใหม่หรือยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นใหม่แต่อย่างใด
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า นายกุหลาบชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาทให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้วหรือไม่ เห็นว่า หนี้เงินกู้ยืมรายพิพาทมีต้นเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดที่โจทก์พึงเรียกได้ตามกฎหมายเป็นจำนวนปีละ ๔,๕๐๐ บาท โจทก์ได้รับเงินของนายกุหลาบจากธนาคารตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๖ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๔๑ ทั้งสิ้น ๔๐ ครั้ง เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๒๘๔,๕๐๐ บาท สูงกว่าต้นเงินกู้ยืมเงินรายพิพาทบวกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เป็นอย่างมาก แม้จะได้ความตามคำเบิกความของจำเลยว่า นายกุหลาบกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท อีกสัญญาหนึ่ง แต่หนี้อีกสัญญาหนึ่งนี้ก็ไม่น่าจะมีจำนวนมากกว่าหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาท เพราะมีต้นเงินเท่ากันและโจทก์ไม่อาจเรียกดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในคดีนี้ได้อีก ดังนี้แม้นำหนี้อีกสัญญาหนึ่งมาหักออกจากจำนวนเงินของนายกุหลาบที่โจทก์รับจากธนาคารแล้ว จำนวนเงินคงเหลือก็ยังสูงกว่าหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาทมาก ที่โจทก์อ้างว่าเงินของนายกุหลาบที่โจทก์ได้รับจากธนาคารดังกล่าวไม่ใช่การชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาท แต่เป็นการชำระหนี้รายอื่นที่นายกุหลาบมีต่อโจทก์นั้นเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์และมีหน้าที่ต้องนำสืบพยานหลักฐานให้รับฟังได้ตามข้ออ้างของโจทก์ แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน คงมีเพียงคำเบิกความของพันตรีวิเชียร ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลอย ๆ ปากเดียว ซึ่งไม่ปรากฏรายละเอียดว่าหนี้รายอื่นนั้นเป็นมูลหนี้อะไร จำนวนเท่าใด และเป็นหนี้มาแต่เมื่อใด ทั้งไม่สมเหตุผล เพราะหากนายกุหลาบไม่ชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาทแก่โจทก์ไม่ว่าต้นเงินหรือดอกเบี้ย จนเวลาล่วงเลยมาหลายปีโจทก์ไม่น่าจะยินยอมให้นายกุหลาบเป็นหนี้รายใหม่เป็นจำนวนมากกว่าหนี้เดิม และไม่มีเหตุผลที่โจทก์จะรับชำระหนี้จากนายกุหลาบระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๖ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๔๑ เป็นจำนวนถึง ๒๘๔,๕๐๐ บาท โดยไม่เรียกร้องให้นายกุหลาบชำระหนี้เงินกู้ยืมรายพิพาทที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ ข้ออ้างของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้ ส่วนที่จำเลยและนางจำรัส เปลี่ยนดอก พยานจำเลยซึ่งเป็นภรรยาของนายกุหลาบไม่ทราบว่านายกุหลาบเป็นหนี้โจทก์จำนวนอื่นหรือไม่ และชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเพียงใด เป็นเรื่องปกติธรรมดา หาทำให้น้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยเสียไปไม่ พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้เงินกู้ยืมจากนายกุหลาบครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๕,๐๐๐ บาท.

Share