คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 640/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชายหญิงทำพิธีแต่งงานกันตามประเพณี แต่หญิงไม่ยอมหลับนอนร่วมประเวณีกับชายฉันท์สามีภริยาโดยแยกไปนอนเสียคนละห้องกับชายอยู่มาประมาณ 10 วัน มารดาของหญิงบอกให้ชายพาหญิงเข้าห้องเอาเอง ชายจึงเข้าไปจับเอวหญิงออกมาจากห้องที่หญิงนอน หญิงฉวยแจกันตีศีร์ษะชายแตก โลหิตออกแจกันหักแล้วยังใช้แจกันตีชายถูกโหนกแก้มเป็นบาดแผลต้องเย็บถึง 7 เข็มชายจึงกลับบ้านและไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับหญิง ดังนี้ถือว่าการกระทำของหญิงเป็นเหตุผลสำคัญอันพอที่จะทำให้ชายปฏิเสธไม่ยอมสมรสด้วยหญิงตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 1441 ได้ ชายจึงมีสิทธิเรียกของหมั้นคืนจากหญิงได้
โจทก์จำเลยร่วมกันนำสัมภาระและลงทุนปลูกสร้างเรือนขึ้น 1 หลัง แต่ไม่ได้ความพอจะชี้ได้ว่าสัมภาระชิ้นใดเป็นของผู้ใดได้ทุกชิ้น ทั้งไม่ได้ความว่าแต่ละฝ่ายได้มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่เกินกว่าครึ่ง ดังนี้ต้องถือว่า โจทก์และจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของเรือนรายนี้เท่า ๆ กัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้สู่ขอจำเลยที่ ๒ บุตรีจำเลยที่ ๑ เป็นภริยา จำเลยที่ ๑ ตกลงยอมให้ โจทก์นำเงิน ๑,๐๐๐ บาท หมั้นจำเลยที่ ๒ ไว้แล้วโจทก์ได้ฝากบำเรอและทำนาเป็นหุ้นส่วนกับจำเลยทั้ง ๒ เป็นเวลา ๒ ปี ได้ผลข้าวเหลือประมาณ ๒,๐๐๐ เสียง ราคา ๑,๐๐๐ บาท และโจทก์ยังได้ออกเงินจัดการปลูกเรือนหออีก ต่อมาโจทก์ได้ทำพิธีแต่งงานกับจำเลยที่ ๒ ได้ของขวัญจากแขกในวันแต่งงานตามบัญชีท้ายฟ้องราคา ๑๓๐๐ บาท แต่แล้วจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมจดทะเบียนสมรสต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และไม่ยอมอยู่กินร่วมประเวณีฉันท์สามีภริยา ทั้งได้ทำร้ายร่างกายโจทก์มีบาดเจ็บสาหัส โจทก์จึงขอเรียกทรัพย์ที่โจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนกัน เรียกเงินหมั้นเรือนหอ ค่าเสียหายจากการถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เอาเรือนพร้อมด้วยชานรายพิพาทกับทรัพย์ที่ฟังว่าได้เป็นของขวัญในวันแต่งงานมาประมูลราคาหรือขายทอดตลาดแบ่งกัน ระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๒ เท่า ๆ กัน กับให้จำเลยที่ ๒ เสียค่าทดแทนในการละเมิดแก่โจทก์ ๓๐๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ข้อฟ้องนอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์รื้อเรือนพิพาทเอาส่วนก่อสร้างที่เป็นของโจทก์ไป นอกนั้น คงพิพากษายืน
โจทก์จำเลยต่างฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาได้ตรวจปรึกษาคดีแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงคงฟังได้ว่า เมื่อหมั้นกันแล้ว โจทก์ได้มาช่วยฝ่ายจำเลยทำนาอยู่ ๒ ปี และเรือนรายพิพาทก็ได้ปลูกกันขึ้นในระหว่างนั้น เมื่อปลูกเรือนเสร็จแล้ว ต่อมา โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ก็ได้ทำพิธีแต่งงานกันตามประเพณีแล้วอยู่ด้วยกันยังเรือนหลังที่ปลูกขึ้นนั้น แต่หาได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไม่ และจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมหลับนอนร่วมประเวณีกับโจทก์ฉันท์สามีภริยา โดยแผลไปนอนเสียคนละห้องกับโจทก์ จำเลยที่ ๑ ช่วยพูดจาอ้อนวอน จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ปฏิบัติตาม ต่อจากวันแต่งงานประมาณ ๑๐ วัน โจทก์เข้าไปจับเอวจำเลยที่ ๒ ออกมาจากห้องที่จำเลยที่ ๒ เคยนอน จำเลยที่ ๒ ก็ฉวยแจกันตีศีร์ษะโจทก์แตกโลหิตออก แจกันหัก จำเลยที่ ๒ ยังใช้แจกันนั้นตีโจทก์ถูกที่โหนกแก้มซ้ายเป็นแผลเย็บถึง ๗ เข็ม โจทก์รักษาพยาบาลบาดแผลอยู่ประมาณ ๑๕ วัน เมื่อบาดแผลหายแล้วโจทก์ได้ไปจากบ้านจำเลย ฝ่ายจำเลยก็เชิญปลัดอำเภอมาเพื่อจดทะเบียนสมรส และให้คนไปแจ้งให้โจทก์ทราบ แต่โจทก์ไม่มาจดทะเบียนสมรส ซึ่งโจทก์แถลงว่า เพราะจำเลยที่ ๒ ทำร้ายร่างกายโจทก์ ๆ จึงไม่ยอมจดทะเบียนสมรสและเลิกกับจำเลยที่ ๒ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างว่าจำเลยที่ ๒ เจตนาทำร้ายโจทก์ถึงบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นเหตุผลสำคัญอันพอที่จะทำให้โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมสมรสด้วยจำเลยที่ ๒ ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๑๔๔๑ ได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเงินหมั้นคืนจากจำเลยได้
ข้อที่โจทก์ขอแบ่งข้าวในการที่ช่วยจำเลยทำนาปรากฎว่าโจทก์จำเลยทำนาด้วยความเสน่หา ไม่หวังจะแบ่งประโยชน์ จึงไม่ใช่เรื่องเป็นหุ้นส่วนกัน โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง
ข้อเรือนหอพิพาท ฟังว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกันนำสัมภาระและลงทุนปลูกสร้างขึ้น แต่ไม่ได้ความพอจะชี้ได้ว่าสัมภาระชิ้นใดเป็นของผู้ใดได้ทุกชิ้น ทั้งไม่ได้ความว่าแต่ละฝ่ายได้มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่เกินกว่าครึ่ง ดังนี้ โดยบทบัญญัติที่มาตรา ๑๓๕๗ ป.ม.แพ่งฯ ต้องถือว่าโจทก์จำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของเรือนพิพาทเท่า ๆ กัน
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยทั้ง ๒ คืนหมั้น ๑๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ ส่วนเรือพิพาท ให้จัดการประมูลราคาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ถ้าไม่ตกลงกันให้ขายทอดตลาดแล้วแบ่งราคาสุทธิระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ คนละครึ่ง

Share