คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกง รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่ก่อนวันที่ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ทั้งบันทึกคำร้องทุกข์ก็ปรากฏว่าโจทก์ร้องทุกข์เมื่อเกิน 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ในคำขอกู้เงินกรอกข้อความไว้แต่เพียงชื่อตัว ชื่อสกุล สังกัดอำเภอ และลายมือชื่อเท่านั้น มิได้กรอกข้อความจำนวนเงินที่ขอกู้ ในหนังสือกู้เงินก็มีเพียงลายมือชื่อผู้กู้ มิได้กรอกจำนวนเงินที่ขอกู้ และในใบมอบฉันทะก็มีเพียงลายมือชื่อผู้มอบฉันทะเท่านั้นมิได้กรอกข้อความว่ามอบฉันทะให้ผู้ใด จึงเป็นเอกสารที่ข้อความยังไม่สมบูรณ์ มิใช่เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลงโอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ผู้ใช้เอกสารดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม การที่จำเลยที่ 2 ใช้เอกสารปลอมแต่ละชุดต่างหากจากกันเพื่อหลอกเอาเงินจากโจทก์ 9 ครั้ง ต่างวันเวลากันนั้น เป็นการมีเจตนาใช้เอกสารปลอมเพื่อหลอกเอาเงินจากโจทก์เป็นรายครั้ง จึงเป็นความผิด 9 กรรมต่างกัน แม้จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันก็ตาม ก็มิใช่เหตุแสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นกับจำเลยที่ 2 ทุกกรณี เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้แน่ชัดว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำผิดฐานใช้เอกสารปลอม จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์สำนวนแรกฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 และให้จำเลยร่วมกันใช้เงินจำนวน2,596,660 บาท แก่ผู้เสียหาย
โจทก์สำนวนหลังฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264, 265, 268, 341, 83, 91
สำนวนหลังศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268, 341, 83, 91 เรียงกระทงลงโทษให้จำคุกจำเลยทั้งสองฐานฉ้อโกงคนละ 6 เดือน ส่วนความผิดฐานใช้เอกสารปลอมให้จำคุกคนละ 6 เดือน 9 กรรม รวมจำคุกคนละ 5 ปี คำขออื่นให้ยกเพื่อให้ไปดำเนินคดีแพ่งต่อไป
โจทก์สำนวนหลังและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงและใช้เอกสารปลอม
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าความผิดฐานฉ้อโกงขาดอายุความหรือไม่ โจทก์ทั้งสองสำนวนนำสืบทำนองเดียวกันว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2529 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากันไปพบโจทก์สำนวนหลังที่บ้านแจ้งว่า มีสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูร้อยเอ็ดจำกัดจะขอกู้เงินคนละ 10,000 บาท โดยให้จำเลยทั้งสองนำคำขอกู้ หนังสือกู้เพื่อเหตุฉุกเฉิน และใบมอบฉันทะรับเงินแทนสมาชิกสหกรณ์ดังกล่าวมามอบให้ โดยผู้กู้จะผ่อนชำระเดือนละ 1,500บาท รวม 10 เดือน จำเลยที่ 2 แจ้งว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์สามารถหักเงินจากสมาชิกได้ และยินดีรับเอกสารที่มอบแก่โจทก์สำนวนหลังเพื่อไปรับเงินให้ทุกเดือน เป็นเหตุให้โจทก์สำนวนหลังหลงเชื่อมอบเงินสดและเช็คแก่จำเลยทั้งสองรวมเป็นเงิน 26,660บาท หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้กระทำการดังกล่าวอีก 37 ครั้งตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2529 ถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2529 เป็นเงินทั้งสิ้น 2,956,660 บาท เมื่อถึงวันสิ้นเดือนจำเลยทั้งสองจะมารับใบมอบฉันทะรับเงินแทนสมาชิกไปจากโจทก์สำนวนหลังแล้วนำเงินมาให้โจทก์สำนวนหลัง
จำเลยทั้งสองได้ชำระเงินคืนประมาณ 1,200,000 บาท แล้วไม่ผ่อนชำระส่วนที่เหลือ เมื่อทวงถามจำเลยทั้งสองแจ้งว่าเอกสารที่นำมามอบให้นั้นเป็นเอกสารปลอม โจทก์สำนวนหลังจึงได้ร้องทุกข์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2530
ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์สำนวนหลังว่าเมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2529 โจทก์สำนวนหลังบอกให้พยานทราบว่าจำเลยทั้งสองโกงเงินไปจำนวนมาก แสดงว่าโจทก์สำนวนหลังซึ่งเป็นผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่เดือนธันวาคม 2529 แต่ปรากฏตามบันทึกคำร้องทุกข์ว่าโจทก์สำนวนหลังร้องทุกข์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2530 ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดคดีจึงขาดอายุความ
ส่วนปัญหาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คำขอกู้เงินและใบมอบฉันทะที่จำเลยทั้งสองมอบให้โจทก์สำนวนหลังเป็นแบบพิมพ์ที่แท้จริง มีเพียงลายมือชื่อผู้กู้ มิได้กรอกจำนวนเงินที่ขอกู้ ส่วนใบมอบฉันทะมีเพียงลายมือชื่อผู้มอบฉันทะเท่านั้น มิได้กรอกข้อความว่ามอบฉันทะให้ผู้ใด จึงเป็นเอกสารที่ข้อความไม่สมบูรณ์ มิใช่เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นเอกสารสิทธิ ผู้ใช้เอกสารดังกล่าวจึงไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม
เมื่อจำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวข้างต้นไปให้โจทก์สำนวนหลังเพื่อเอาเงินจากโจทก์สำนวนหลัง 9 ครั้ง ต่างเวลากัน และใช้เอกสารแต่ละชุดต่างหากจากกันในแต่ละครั้ง แสดงว่ามีเจตนาใช้เอกสารปลอมเพื่อหลอกเอาเงินเป็นรายครั้งอันเป็นความผิด 9 กรรมต่างกัน
จำเลยที่ 1 แม้เป็นสามีจำเลยที่ 2 ก็ไม่ใช่เหตุแสดงว่าจำเลยที่ 1 ต้องรู้เห็นกับจำเลยที่ 2 ทุกกรณี และพยานหลักฐานของโจทก์สำนวนหลังรับฟังไม่ได้แน่ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำความผิดฐานใช้เอกสารปลอม จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 268 วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา91 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 264 ให้จำคุกกระทงละ 4 เดือน รวม 9 กระทง เป็นจำคุก 36 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share