แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ฟ้องฎีกาโจทก์กล่าวเพียงแต่ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ชอบด้วยความเห็นของโจทก์ โดยมิได้แสดงให้เห็นว่าไม่ชอบในข้อไหน เพียงใดก็ดี และที่ว่า โจทก์ขอถือเอาคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์เป็นฟ้องฎีกาก็ดี ถือได้ว่าเป็นการกล่าวข้อความขึ้นลอย ๆ โดยมิได้กล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา ฟ้องฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของครอบครองที่ดินหนึ่งแปลงซึ่งเดิมเป็นของนายเหลา แล้วนายเหลาขายให้นายพรม โจทก์ซื้อที่ดินนี้จากนายพรม และได้ครอบครองเป็นเจ้าของโดยสงบ เปิดเผย เป็นเวลา6 ปีมาแล้ว จำเลยโต้แย้งสิทธิครอบครองของโจทก์ จึงขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยการซื้อขายและครอบครอง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่พิพาทเป็นที่ดินมี ส.ค.1 และเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินนายเหลาซึ่งเป็นบิดาจำเลยที่ 2 เดิมนายเหลาให้นายพรมนางหล้าปลูกเรือนอยู่อาศัยในที่พิพาท โจทก์ซื้อเฉพาะเรือนจากนายพรมนางหล้าแล้วขอจำเลยที่ 2 อาศัยอยู่ในที่พิพาทตลอดมาเป็นเวลา3 ปี จำเลยไม่พอใจที่จะให้โจทก์อยู่ต่อไป แต่โจทก์กลับโต้แย้งสิทธิครอบครองของจำเลย จึงขอให้ยกฟ้องและสั่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยให้ขับไล่โจทก์ออกไปจากที่พิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าจำเลยทราบดีแล้วว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายพรมซื้อที่พิพาทจากนายเหลาบิดาจำเลยและได้ครอบครองมาเกิน 1 ปี ต่อมาโจทก์จึงมาซื้อจากนายพรมและได้ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของอีกหลายปีโจทก์จึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท พิพากษาห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฎีกาของโจทก์ในข้อ 3 ที่ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ชอบด้วยความเห็นของโจทก์นั้น ถือได้ว่าเป็นการกล่าวข้อความลอย ๆ โดยมิได้แสดงให้เห็นว่าไม่ชอบในข้อไหนเพียงใดให้ชัดแจ้งในฎีกา ส่วนฎีกาในข้อ ก. ที่โจทก์กล่าวเท้าว่าขอถือเอาคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์เป็นฟ้องฎีกานั้น จะถือว่าเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโดยชัดแจ้งในฎีกาหาได้ไม่ ฟ้องฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์