แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้เช่าห้องพิพาทจากภริยาโจทก์ที่ตาย ได้ทำสัญญาเช่าใหม่และชำระค่าเช่าต่อผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของภริยาโจทก์โดยสุจริตนั้นโจทก์จะมาฟ้องขับไล่และให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าต่อโจทก์ไม่ได้เพราะไม่มีเหตุจะถือว่าผู้เช่าผิดนัด
เมื่อมีผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามพินัยกรรมอยู่แล้วหากสามีผู้ตายอ้างว่ามีสิทธิจัดการมรดกตามคำสั่งศาลและในฐานเป็นสามีผู้ตายก็ชอบที่สามีผู้ตายจะไปว่ากล่าวเป็นคดีหนึ่งต่างหากจากคดีขอขับไล่ผู้เช่า
ย่อยาว
ได้ความว่า ส. ภริยาโจทก์ได้ซื้อห้องแถวพิพาทแล้วให้จำเลยที่ 1 เช่า ส. ตายได้ทำพินัยกรรมให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกโจทก์ไปให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าต่อโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ทราบว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมได้ทำสัญญาเช่าต่อจำเลยที่ 2 และบอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ โจทก์ไปร้องขอต่อศาลจังหวัดปทุมธานีขอเป็นผู้จัดการมรดก โดยอ้างว่า ส. ภรรยาหรือไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ศาลจังหวัดปทุมธานีสั่งอนุญาตให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกได้ ต่อมาอีก 2-3 ปี โจทก์จึงมาฟ้องขับไล่จำเลยและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยที่ 1 ขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยร่วมด้วย
ศาลจังหวัดลพบุรีเห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเช่าไม่ได้พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอ้างว่า จำเลยผิดนัดไม่ส่งค่าเช่า แต่ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าแก่จำเลยที่ 2 ผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมของ ส. เจ้าของเดิมโดยสุจริต จึงไม่มีเหตุจะถือว่า จำเลยผิดนัดได้
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก ส. และเป็นสามี ส. ย่อมมีสิทธิจัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1468 นั้น เห็นว่าเรื่องอำนาจจัดการมรดกนี้ โจทก์ชอบที่จะว่ากล่าวเป็นคดีหนึ่งต่างหาก เพราะจำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติชำระค่าเช่าไปโดยสุจริตแล้ว จะขับไล่ไม่ได้
พิพากษายืน