คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1152/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นร้องขัดทรัพย์ การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาโอนทรัพย์สินให้ผู้อื่นโดยไม่สุจริตเป็นเหตุให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบนั้น เป็นการพิจารณาชั้นบังคับคดี เจตนารมย์ของการบังคับคดียอมให้ว่ากล่าวกันได้ภายหลังการยึดทรัพย์แล้ว ศาลจึงมีอำนาจชี้ขาดตามความในมาตรา 237 ได้ โดยมิพักต้องให้เจ้าหนี้ไปฟ้องดำเนินคดีฟ้องร้องขอให้ทำลายการโอนหรือเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อนแต่ประการใด(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18/2503)

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้ จำเลยแพ้คดีโจทก์ นำยึดเรือนทรงปั้นหยา 1 หลัง เรือนทรงไทย 2 ห้องแฝดพร้อมทั้งครัวกับโรงเก็บของและเครื่องสีข้าว 1 หลัง นางช้อง โจทก์นำยึดฉางข้าว 1 หลัง

ร้อยโทปลื้มผู้ร้อง ร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดทั้ง 2 สำนวน เป็นของผู้ร้องโดยซื้อไว้จากจำเลยที่ 1, 2 โดยสุจริต ขอให้ถอนการยึด

โจทก์ทั้ง 2 สำนวนต่อสู้ว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นของจำเลยสัญญาขายทรัพย์ระหว่างจำเลยกับผู้ร้องไม่สุจริต แต่ได้กระทำโดยการสมยอมและเป็นการทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบการซื้อขายรายนี้ตกเป็นโมฆะ

ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาแล้วสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์

ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้แม้ผู้ร้องขัดทรัพย์จะได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนการซื้อขายทรัพย์รายพิพาทนี้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนโจทก์ฟ้องก็ดี แต่ปรากฏชัดว่า ฝ่ายจำเลยทราบอยู่แล้วว่าการโอนเช่นนี้เป็นเหตุให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ อันเป็นเหตุให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้อาจขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนรายนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ส่วนที่ว่าโจทก์จะต้องขอให้ศาลเพิกถอนการโอนย้อนหลังไปถึงวันที่โจทก์ยึดทรัพย์รายนี้อันแสดงว่าได้ยึดไว้โดยชอบได้หรือไม่ หรือจะต้องให้โจทก์ไปดำเนินคดีขอเพิกถอนการโอนนี้เป็นคดีขึ้นใหม่ ไม่ใช่ในเรื่องร้องขัดทรัพย์นี้ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องชั้นบังคับคดี เจตนารมย์ของการบังคับคดียอมให้ว่ากล่าวกันได้ภายหลังการยึดทรัพย์แล้ว ศาลมีอำนาจชี้ขาดตามความในมาตรา 237 ได้โดยมิพักต้องให้โจทก์ไปดำเนินคดีฟ้องร้องขอให้ทำลายการโอนหรือเพิกถอนการฉ้อฉลเสียก่อนแต่ประการใด

พิพากษายืน

Share