คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6383/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยเข้าไปตาม พ. ในโรงแรมของโจทก์ร่วมเพื่อจะบอกถึงธุระเกี่ยวกับที่ดินที่จะต้องไปดำเนินการในวันรุ่งขึ้นตามที่ พ. นัดแนะไว้ นับว่าเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควร การที่จำเลยมีมีดของกลางติดตัวไปด้วยหรือไม่ไม่เป็นข้อสำคัญ เมื่อเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควรแล้วแม้จะมีมีดติดตัวไปด้วยก็ไม่ทำให้การเข้าไปนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่มีเหตอันสมควร พฤติการณ์ของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุขของโจทก์ร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 362, 364, 365, 33, 91 ริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายวินัย วิชัยเรืองธรรม ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 364, 365 (2) (3) ประกอบมาตรา 362 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกาย จำคุก 6 เดือน ฐานบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี ริบมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานทำร้ายร่างกาย 3,900 บาท อีกสถานหนึ่ง คำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 2,600 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 เดือนต่อครั้ง เป็นเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องฐานบุกรุก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้ใช้มีดของกลางฟันศีรษะของโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานบุกรุกอีกกระทงหนึ่งหรือไม่ เห็นว่า คดีได้ความตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมและนางกันยา อยู่มากญาติ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมประกอบกันว่า ก่อนที่จะมีเหตุทำร้ายกัน จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาในโรงแรมของโจทก์ร่วมและไปจอดที่บริเวณหน้าห้องพักเลขที่ 106 ซึ่งเป็นห้องที่สามีของจำเลยเช่าพักอยู่ และได้ความตามคำเบิกความของนายพิสันต์ ดุสรักษ์ สามีของจำเลยว่า ในช่วงเย็นของวันที่ 6 ก่อนเกิดเหตุ นายพิสันต์ได้บอกจำเลยว่า นายพิสันต์จะไปเที่ยวกับเพื่อนและจะไปพักที่โรงแรมของโจทก์ร่วม หากจำเลยมีธุระก็ให้ไปตามนายพิสันต์ที่โรงแรมดังกล่าว การที่จำเลยเข้าไปตามนายพิสันต์ในโรงแรมของโจทก์ร่วมเพื่อจะบอกถึงธุระเกี่ยวกับที่ดินที่จะต้องไปดำเนินการในวันรุ่งขึ้นตามที่นายพิสันต์นัดแนะไว้ดังกล่าวนั้น นับว่าเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควร การที่จำเลยมีมีดของกลางติดตัวไปด้วยหรือไม่ไม่เป็นข้อสำคัญ เมื่อเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุอันสมควรแล้วแม้จะมีมีดติดตัวไปด้วยก็ไม่ทำให้การเข้าไปนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่มีเหตุอันสมควร ส่วนที่จำเลยยังไปเคาะประตูห้องพักเลขที่ 106 ภายหลังจากที่โจทก์ร่วมไม่ยอมมอบกุญแจห้องดังกล่าวให้จำเลย ก็อาจเป็นเพราะจำเลยไม่พอใจจากการที่มีเหตุโต้เถียงกับโจทก์ร่วมก่อนหน้านั้นก็เป็นได้ พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยปกติสุขของโจทก์ร่วมดังที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์ฐานบุกรุกนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share