คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 638/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เรือของโจทก์ซึ่งให้บริษัทญี่ปุ่นเช่าไปและภายหลังถูกสหประชาชาติยึดมาให้จำเลยเช่าลากเรือลำเลียงให้สหประชาชาติ และเรือนั้นได้เปลี่ยนชื่อใหม่ต่อมาสหประชาชาติได้ขายเรือนั้นให้จำเลย การที่เรือมาตกอยู่ในความครอบครองของสหประชาชาติและจำเลยนั้น เป็นไปตามข้อตกลงที่ทำกันระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติ ดังนี้จำเลยผู้รับซื้อย่อมได้กรรมสิทธิ์และเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับซื้อไว้โดยไม่สุจริตอย่างใดแล้ว จะถือว่าละเมิดมิได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

ย่อยาว

ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของเรือ “โพยมรัตน์” โจทก์ได้ให้บริษัท ม. ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นเช่า ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม เรือลำนี้ได้ถูกสหประชาชาติยึดในฐานเป็นทรัพย์ของชนชาติศัตรูและให้บริษัทจำเลยเช่าไปลากเรือลำเลียงของสหประชาชาติ เรือลำนี้เปลี่ยนชื่อเป็น เย.ที. 48 ต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว สหประชาชาติได้ขายเรือลำนี้แก่จำเลย ระหว่างเรือถูกยึดและตกอยู่แก่จำเลย โจทก์ได้พยายามติดต่อขอเรือคืน แต่ไม่เป็นผล โจทก์ฟ้องขอคืนเรือ ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ค่าเสียหายอีกเป็นรายเดือนพร้อมดอกเบี้ย แต่ได้ถอนคำขอคืนเรือ จำเลยต่อสู้หลายประการ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า สหประชาชาติยึดโดยถูกต้องตามวิธีการและมีสิทธิขายเรือลำนี้ได้ จำเลยซื้อโดยสุจริตย่อมได้กรรมสิทธิ์โจทก์เรียกคืนไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่เรือลำนี้มาตกอยู่ในความครอบครองของสหประชาชาติและจำเลยนั้น เป็นไปตามข้อตกลงที่ทำกันระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติดังเอกสารหมาย ล.10 แสดงว่าจำเลยผู้รับซื้อย่อมได้สิทธิในเรือนั้น แต่คดีไม่ปรากฏว่า การที่จำเลยรับซื้อไว้เป็นการกระทำที่ไม่สุจริตแต่อย่างใด จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายละเมิดมิได้โจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายจากจำเลย

พิพากษายืน

Share