แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เรือของโจทก์ซึ่งให้บริษัทญี่ปุ่นเช่าไป และภายหลังถูกสหประชาชาติยึดมาให้จำเลยเช่าากเรือลำเลียงให้สหประชาชาติ และเรือนั้นได้เปลี่ยนชื่อใหม่ต่อมาสหประชาชาตได้ขายเรือนั้นให้จำเลย การที่เรือมาตกอยู่ในความครอบครองครองของสหประชาชาตและจำเลยนั้น เป็นไปตามข้อตกลงที่ทำกันระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาต ดังนี้จำเลยผู้รับซื้อย่อมได้กรรมสิทธิ์และเมื่อไม่ปรากฏว่า จำเลยได้รับซื้อไว้โดยไม่สุจริตอย่างใดแล้ว จะถือว่าละเมิดมิได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจำเลย
ย่อยาว
ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของเรือ “โพยมรัตน์โจทก์ได้ให้บริษัท ม.ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่นเช่า ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม เรือลำนี้ได้ถูกสหประชาชาตยึดในฐานะเป็นทรัพย์ของชนชาติศัตรูและให้บริษัทจำเลยเช่าไปลากเรือลำเลียงของสหประชาชาต เรือลำนี้เปลี่ยนชื่อเป็น เย.ที.๔๘ ต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว สหประชาชาติได้ขายเรือลำนี้แก่จำเลย ระหว่างเรือถูกวึดและตกอยู่แก่จำเลยโจทก์ได้พยายามติดต่อขอเรือคืน แต่ไม่เป็นผล โจทก์ฟ้องขอคืนเรือ ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ค่าเสียหายอีกเป็นรายเดือน พร้อมดอกเบี้ย แต่ได้ถอนคำขอคืนเรือ จำเลยต่อสู้หลายประการ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สหประชาชาตยึดโดยถูกต้องตามวิธีการ และมีสิทธิขายเรือลำนี้ได้ จำเลยซื้อได้โดยสุจริตย่อมได้กรรมสิทธิ์ โจทก์เรียกคืนไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่เรือลำนี้มาตกอยู่ในความครอบครองของสหประชาชาติและจำเลยนั้น เป็นไปตามข้อตกลงทีทำกันระหว่างรัฐบาลไทยกับสหประชาชาติดังเอกสารหมาย ล.๑๐ แต่คดีไม่ปรากฏว่า การที่จำเลยรับซื้อไว้เป็นการไม่สุจริตอย่างใดแล้ว จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายละเมิดมิได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจำเลย
พิพากษายืน