คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งหกพูดคุยกันอยู่ในห้องพักของโรงแรมว่าจะเริ่มทำงานพรุ่งนี้เวลา 9 นาฬิกา โดยแบ่งเป็น 2 สาย สายหนึ่งไปที่ตลาดโคกมะตูมอีกสายหนึ่งจะไปทางห้างสรรพสินค้าท็อปแลนด์ระหว่างที่จำเลยทั้งหกพูดคุยกันมีการนำเอาสร้อยเส้นใหญ่ออกมาแสดงวิธีการทำงานด้วยการกระทำดังกล่าวชี้ให้เห็นไม่ได้ว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันวางแผนเพื่อฉ้อโกงประการใด และการที่จำเลยทั้งหกมีของกลาง 11 รายการ ตามที่ยึดมาก็มิใช่ข้อที่ชี้ให้เห็นว่ามีไว้เพื่อการหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อเพื่อให้ได้ทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง อันจะเป็นข้อแสดงว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันวางแผนเพื่อกระทำผิดฐานฉ้อโกง จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งหกกระทำผิดฐานเป็นช่องโจรตามฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งหกได้สมคบร่วมกันวางแผนการ เพื่อกระทำผิดฉ้อโกงอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป โดยการใช้สร้อยคอโลหะที่มีลักษณะเหมือนทองคำไปหลอกลวงประชาชนเพื่อให้หลงเชื่อว่าเป็นทองคำแล้วมอบทองคำที่แท้จริงให้แก่จำเลยในวันที่ 4 มิถุนายน2531 เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งหกได้พร้อมด้วยทรัพย์ของกลาง 11รายการ อันเป็นทรัพย์ที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 และสั่งริบของกลาง
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคหนึ่ง จำคุกคนละ 2 ปี คำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามมาตรา78 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า พยานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือที่จะรับฟังลงโทษจำเลยทั้งหกได้ เป็นเหตุในลักษณะคดีมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วย พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยทั้งหกสมคบกันร่วมวางแผนการเพื่อกระทำผิดฐานฉ้อโกงนั้นคงมีสิบตำรวจตรีประพันธ์และร้อยตำรวจโทชัยพรพร้อมของกลาง 11รายการ ที่จับกุมได้จากจำเลยทั้งหก ตามคำเบิกความของสิบตำรวจตรีประพันธ์ และร้อยตำรวจโทชัยพรนั้นได้ความว่า ในคืนวันที่ 3มิถุนายน 2531 ได้ไปแอบฟังจำเลยทั้งหกที่ห้องพักในโรงแรมได้ยินเสียงพูดคุยกันว่าจะเริ่มทำงานพรุ่งนี้เวลา 9 นาฬิกาโดยแบ่งเป็น 2 สาย สายหนึ่งไปที่ตลาดโคกมะตูม อีกสายหนึ่งจะไปทางห้างสรรพสินค้าท็อปแลนด์ ระหว่างที่จำเลยทั้งหกพูดคุยกัน เห็นมีการเอาสร้อยเส้นใหญ่ออกมาแสดงวิธีการทำงานด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองคนดังที่กล่าวนั้นไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นการชี้ให้เห็นว่า จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันวางแผนการเพื่อฉ้อโกงแต่ประการใด เพราะไม่ได้ความว่า จำเลยทั้งหกกับพวกจะหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่ออย่างไรเพื่อให้ได้ทรัพย์สินมา เพียงแต่เห็นว่ามีการเอาสายสร้อยเส้นใหญ่ออกมาแสดงวิธีการทำงานก็ไม่รู้ว่าทำงานในลักษณะอย่างใดที่จะให้เห็นว่าเป็นการหลอกลวงผู้อื่นอันจะเป็นการกระทำอย่างหนึ่งในความผิดฐานฉ้อโกง และการที่จำเลยทั้งหกมีของกลางตามที่ยึดมาได้รวม 11 รายการนั้น การมีของลักษณะดังกล่าวก็มิใช่ข้อที่จะชี้ให้เห็นว่า มีไว้เพื่อการหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่อเพื่อที่จะได้มาซึ่งทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง อันจะเป็นข้อที่แสดงว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันวางแผนการเพื่อกระทำความผิดฐานฉ้อโกงสำหรับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งหกนั้นเป็นพยานที่ยังมีข้อโต้แย้งจากการนำสืบของจำเลยทั้งหกว่ามิได้รับสารภาพด้วยความสมัครใจ จึงไม่อาจจะฟังเอาเฉพาะบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนมาลงโทษจำเลยได้ ในเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งหกกระทำผิด อันเป็นเหตุในลักษณะคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องโจทก์รวมไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6ที่ไม่ได้อุทธรณ์ด้วยนั้นเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 แล้ว สำหรับของกลางทั้ง 11 รายการนั้น มิใช่ของที่มีไว้เป็นความผิด ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มิได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งเสียให้ครบถ้วนโดยต้องสั่งคืนของกลางให้แก่เจ้าของตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 186(9) และมาตรา 49
พิพากษายืน คืนของกลางทั้ง 11 รายการให้เจ้าของ.

Share