แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
น.ส.3 ก. เป็นเอกสารสำคัญเกี่ยวกับที่ดินซึ่งกฎหมายสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในเอกสารเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเมื่อฟังว่า น.ส.3 ก. ตามเอกสารหมาย จ.3 ออกทับ น.ส.3ตามเอกสารหมาย จ.22 จึงถือได้ว่าเป็นการออกโดยมิชอบอันทำให้ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.3 ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาเรื่องการออก น.ส.3 ก. ของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยจึงอยู่ในประเด็นเรื่องการครอบครองที่ดินพิพาทที่ว่ากันมาแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับการยกให้ที่ดินจากนางจันทร์วงศ์แจ้ง มารดาโจทก์ประมาณ 40 ปีแล้ว เนื้อที่ประมาณ 9 ไร่โจทก์จับจองเพิ่มเติมเป็น 12 ไร่ 1 งาน ต่อมาได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3718 ตำบลหญ้าปล้องอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ นายเสาร์ วงศ์แจ้งเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกับโจทก์แต่ต่างมารดา นายเสาร์ได้รับการให้ที่ดินส่วนของนางกา วงศ์แจ้ง ซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ เมื่อประมาณ 15 ปีมานี้ นายเสาร์ขายที่ดินส่วนของตนให้แก่บุคคลอื่นแล้วย้ายไปอยู่จังหวัดอุบลราชธานี จำเลยทั้งสามเป็นบุตรของนายเสาร์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2531 จำเลยทั้งสามยื่นคำขอรับโอนมรดกต่อพนักงานที่ดินอำเภอเมืองศรีสะเกษอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของนายเสาร์ที่ขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้ตาม น.ส.3 เลขที่ 53 ตำบลหญ้าปล้องอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้โอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามแล้วโจทก์เพิ่งทราบว่านายเสาร์นำที่ดินส่วนของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยมิชอบ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าเกี่ยวข้องให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 53 ตำบลหญ้าปล้องอำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ที่มีชื่อจำเลยทั้งสามเป็นผู้รับโอนมรดก
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายเสาร์บิดาของจำเลยทั้งสามโดยได้รับมรดกจากนางกา เมื่อประมาณ 15 ปีมานี้นายเสาร์รวมทั้งจำเลยทั้งสามไปทำมาหากินอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีโจทก์จึงขออาศัยทำกินในที่ดินพิพาท เมื่อนายเสาร์ถึงแก่กรรมจำเลยทั้งสามรับโอนมรดกที่ดินพิพาทมาเป็นของตน โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆในที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 3718 ตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมืองศรีสะเกษจังหวัดศรีสะเกษ ห้ามจำเลยทั้งสามและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้เพิกถอน น.ส.3 เลขที่ 53 ตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมืองศรีสะเกษจังหวัดศรีสะเกษ เฉพาะในส่วนที่จำเลยทั้งสามรับโอนมรดกเนื้อที่ประมาณ 9 ไร่ 40 ตารางวา
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินพิพาทตั้งอยู่ที่หมู่ 8 ตำบลหญ้าปล้อง อำเภอเมืองศรีสะเกษจังหวัดศรีสะเกษ โดยเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2514 ได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส.3 เลขที่ 53 ทะเบียนเล่ม 13หน้า 67 จำนวนเนื้อที่ 16 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา มีชื่อนายเสาร์ วงศ์แจ้ง เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ตามเอกสารหมาย จ.22 และนายเสาร์ได้แบ่งขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่นายเฮ็งเชียม แซ่จึงไปจำนวน 7 ไร่ 1 งาน 64 ตารางวา คงเหลือ 9 ไร่ 40 ตารางวาต่อมาวันที่ 1 กันยายน 2531 จำเลยทั้งสามได้รับโอนมรดกที่ดินพิพาทร่วมกันปรากฏตามเอกสารหมาย จ.11 และ จ.21 ตามลำดับ และเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2524 ได้มีการออก น.ส.3 ก. ทะเบียนเลขที่ 3718เล่ม 38 ก หมายเลข 5839 แผ่นที่ 94 ในที่ดินพิพาทมีชื่อโจทก์เป็น ผู้ครอบครองและได้ทำประโยชน์จำนวนเนื้อที่ 12 ไร่ 1 งานปรากฏตาม น.ส.3 ก. เอกสารหมาย จ.3 โจทก์เป็นน้องสาวของนายเสาร์โดยมีบิดาคนเดียวกันคือ นายคำ วงศ์แจ้ง มารดาของโจทก์คือนางจันทร์ซึ่งเป็นน้องสาวของนางกาและนางกาเป็นมารดาของนายเสาร์ จำเลยทั้งสามเป็นบุตรของนายเสาร์มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโดยชอบหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานโจทก์ที่นำสืบว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.3 ไม่มีน้ำหนักส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกเอาเรื่องการออก น.ส.3 ก.ของโจทก์ขึ้นวินิจฉัยเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ได้วินิจฉัยนอกประเด็น เพราะ น.ส.3 ก.เป็นเอกสารสำคัญเกี่ยวกับที่ดินซึ่งกฎหมายสันนิษฐานว่าผู้มีชื่อในเอกสารเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และเมื่อฟังข้อเท็จจริง ว่า น.ส.3 ก. ตามเอกสารหมาย จ.3 ออกทับ น.ส.3 ตามเอกสารหมาย จ.22จึงถือได้ว่าเป็นการออกโดยมิชอบ อันทำให้ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายโจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก.เอกสารหมาย จ.3 ซึ่งอยู่ในประเด็นเรื่องการครอบครองที่ดินพิพาทที่ว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง พยานจำเลยทั้งสามที่นำสืบมีน้ำหนักดีกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
พิพากษายืน