คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6361/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 เพื่อจัดสรรขาย และจะได้กำไรจากราคาเดิมประมาณ 3-4 เท่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากจำเลยที่ 1 คงเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 เมื่อผู้ซื้อ ชำระราคาที่ดินครบถ้วนในแต่ละแปลงแล้ว โดยจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจัดสรรที่ดินขายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินของจำเลยที่ 2 กับบุคคลภายนอก โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 406 ค.24 (4266) เนื้อที่ 1 งาน 12 ตารางวา ซึ่งจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2 ตกลงราคากันเป็นจำนวนเงิน 47,000 บาท โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยที่ 1 ไปแล้วในวันทำสัญญาเป็นจำนวนเงิน 25,000 บาท จำนวนเงินที่เหลือโจทก์ตกลงจะผ่อนชำระให้จำเลยที่ 1 เป็นรายเดือน มีข้อตกลงว่าเมื่อโจทก์ชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ต้องมอบโฉนดที่ดินพร้อมทั้งใบมอบอำนาจของจำเลยที่ 2ไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่ได้เช่าซื้อให้แก่โจทก์ โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้บุคคลอื่นทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปแล้วจากโจทก์เป็นเงิน 49,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนที่ดินแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองโอนที่ดินให้โจทก์ไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 62,000 บาทแก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน49,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ไม่เคยได้รับแต่งตั้งจากบุคคลใดให้เป็นตัวแทนกระทำกิจการตามที่โจทก์อ้าง และไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อจริง แต่โจทก์เป็นผู้ผิดสัญญา ชำระเงินให้จำเลยที่ 1 ไม่ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อ และไม่ชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกัน 2 เดือน จำเลยที่ 1 จึงไม่โอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ และสัญญาเช่าซื้อระงับลง จำเลยที่ 1 มีสิทธิขายที่ดินให้บุคคลอื่นขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 มิได้เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการเช่าซื้อที่ดินของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินตราจองเลขที่ 406 ทั้งแปลงรวมเนื้อที่ 24 ไร่ 77 ตารางวา จากจำเลยที่ 2 และโดยผลของสัญญาดังกล่าวทำให้จำเลยที่ 1 ได้สิทธิเข้าครอบครองทำประโยชน์บนที่ดินของจำเลยที่ 2 โดยลำพังได้จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 49,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ได้เชิดจำเลยที่ 1เป็นตัวแทนขายที่ดินหรือไม่นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินไปจากจำเลยที่ 2 เพื่อจัดสรรขาย และจะได้กำไรจากราคาเดิมประมาณ 3-4 เท่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 คงเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 เมื่อผู้ซื้อชำระราคาที่ดินครบถ้วนในแต่ละแปลงแล้ว โดยจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยที่ 2 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น ยังไม่พอที่จะถือว่าจำเลยที่ 2ได้เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจัดสรรที่ดินขายให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
พิพากษายืน

Share