แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องกัน ต่างเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินพิพาทแต่โจทก์ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินมรดกส่วนของตนให้จำเลยจนได้มีการโอนโฉนดเป็นชื่อจำเลยไปแล้วโจทก์จะมาฟ้องขอแบ่งที่ดินมรดกนั้นอีกไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่และจำเลยเป็นบุตรนายจุ่น นางเพิ่ม นายจุ่นตายไปนานแล้ว นางเพิ่มตายเมื่อ 15 ปีมานี้ โจทก์จำเลยร่วมกันครอบครองทำกินที่ดินส่วนของนางเพิ่มตลอดมา ต่อมาจำเลยไปขอรับโอนมรดกที่ดินดังกล่าวแล้วแบ่งแยกออกเป็น 3 โฉนด โดยไม่ยอมใส่ชื่อโจทก์ลงในโฉนดที่ดินดังกล่าวขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามโฉนดให้โจทก์ตามส่วน
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 ทำนิติกรรมสละมรดกต่อเจ้าหน้าที่แล้วส่วนโจทก์ที่ 4 ก็ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยและกับนางบรรจงภรรยาจำเลยทั้งคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งมรดกที่ดินทั้งสามโฉนดให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า หนังสือสละมรดกทั้ง 3 ฉบับ นายประจวบพุกกะมาน ปลัดอำเภอบางขุนเทียน รักษาราชการแทนนายอำเภอเป็นผู้ทำขึ้นณ ที่ว่าการอำเภอบางขุนเทียนต่อหน้าคู่กรณี สามีโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้ลงนามเป็นพยานในหนังสือนี้นายประจวบได้ลงนามและประทับตราในเอกสารไว้เป็นสำคัญ เป็นหลักฐานฟังได้แน่นอนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 ได้แสดงเจตนาทำหนังสือดังกล่าวไว้ต่อเจ้าหน้าที่จริง ส่วนหนังสือสัญญาจะขายที่ดินเอกสารหมาย ล.4 นั้น จำเลยมีผู้เขียนสัญญาและพยานในสัญญามาสืบประกอบว่าได้มีการทำสัญญาและรับเงินกันจริง นางเสงี่ยมภริยาโจทก์ที่ 4 ร่วมรู้เห็นและลงชื่อเป็นพยานในสัญญานี้ด้วย พยานจำเลยมีน้ำหนักและเหตุผลดีกว่าพยานโจทก์ ดังเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ได้ยกขึ้นวินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้ว ที่โจทก์ทั้งสี่ฎีกาขึ้นมาว่าโจทก์ถูกหลอกลวงให้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.4 จึงฟังไม่ขึ้น
และวินิจฉัยข้อกฎหมายต่อไปว่า ที่โจทก์ที่ 4 ฎีกาว่า โจทก์ที่ 4 ได้อาศัยอยู่ในที่ดินมรดกร่วมกับโจทก์คนอื่น ๆ และช่วยโจทก์คนอื่น ๆ ทำมาหากินในที่ดินตลอดมา คดีของโจทก์ที่ 4 ไม่ขาดอายุความนั้น เมื่อฟังว่าโจทก์ที่ 4 ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินมรดกส่วนของตนให้จำเลยจนได้มีการโอนโฉนดเป็นชื่อจำเลยเช่นนี้แล้ว โจทก์ที่ 4 จะมาฟ้องขอแบ่งมรดกอีกไม่ได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องอายุความมรดก
พิพากษายืน