แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บริษัทลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ผู้ชำระบัญชีจึงตกลงประนอมหนี้กับเจ้าหนี้บางรายที่เป็นผู้ทรงเช็คโดยขอชำระหนี้ 21.2% เพื่อให้คดีอาญาที่เจ้าหนี้ตามเช็คบางรายฟ้อง กรรมการบริษัทลูกหนี้เป็นอันระงับไป ดังนี้ เมื่อเจ้าหนี้ผู้ทรงเช็คดังกล่าวรับชำระหนี้ตามข้อตกลงในการประนอมหนี้นั้น โดยรู้ถึงภาระหนี้สินล้นพ้นตัวของบริษัทลูกหนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าเจ้าหนี้รับชำระหนี้โดยสุจริตตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 114
มาตรา 114 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2511 มาตรา 30 ระบุชัดแจ้งว่ามิได้ห้ามเฉพาะการโอนทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงการกระทำใดๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วย ดังนั้น การชำระหนี้ของบริษัทลูกหนี้ตามข้อตกลงประนอมหนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามความหมายแห่งมาตราดังกล่าว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำร้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการชำระหนี้ระหว่างบริษัทลูกหนี้กับเจ้าหนี้ ให้เจ้าหนี้คืนเงินที่รับไปและให้เสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินดังกล่าวนับแต่วันศาลสั่งเพิกถอนไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เจ้าหนี้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยโดยมิได้กล่าวว่าให้ชำระตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด ดังนี้ เป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้ไขเพิ่มความให้ครบได้
ย่อยาว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทลูกหนี้ผู้ล้มละลายยื่นคำร้องว่า นายเอาวตาร์ ซิงห์จาวลา เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็ค ๕ ฉบับ ได้ตกลงประนอมหนี้กับบริษัทลูกหนี้ โดยลูกหนี้ยอมจ่ายเงินตามเช็ค ๒๑.๒ เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน ๘๐,๓๔๘ บาท เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๑๕ อันเป็นเวลาภายใน ๓ ปีก่อนผู้ชำระบัญชีร้องขอให้บริษัทลูกหนี้ล้มละลาย เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา ๑๑๔ ขอให้สั่งเพิกถอนการชำระหนี้ดังกล่าวให้เจ้าหนี้คืนเงิน ๘๐,๓๔๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ศาลสั่งเพิกถอนไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
นายเอาวตาร์ ซิงห์จาวลา เจ้าหนี้ให้การว่า รับชำระหนี้โดยมิได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เป็นการกระทำโดยสุจริต จะเพิกถอนไม่ได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการชำระหนี้ตามคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ให้เจ้าหนี้คืนเงิน ๘๐,๓๔๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว แก่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม
นายเอาวตาร์ซิงห์จาวลาเจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเอาวตาร์ซิงห์จาวลาเจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่เจ้าหนี้ผู้คัดค้านฎีกาว่า เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้โดยสุจริต มิได้ล่วงรู้ถึงการมีหนี้สินล้นพ้นตัวของบริษัทลูกหนี้นั้น ข้อนี้นางประภา ชาญอนุเดช สมุหบัญชีบริษัทลูกหนี้เบิกความเป็นพยานเจ้าหนี้ว่านางประภาเข้าประชุมประนอมหนี้ทุกครั้งก่อนทำการประชุมทางบริษัทลูกหนี้แจกบัญชีงบดุลและบัญชีเจ้าหนี้ ลูกหนี้ให้เจ้าหนี้ผู้เข้าประชุมทุกคน เจ้าหนี้รายนี้ก็เข้าประชุมด้วย เหตุที่เจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้ ๒๑.๒ เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะเห็นตัวเลขแล้วว่าทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้มีไม่พอชำระหนี้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ได้ความดังนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ชัดว่าเจ้าหนี้รู้ถึงภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวของบริษัทลูกหนี้แล้ว ถือไม่ได้ว่าเจ้าหนี้รับชำระหนี้โดยสุจริต
ส่วนฎีกาของเจ้าหนี้ผู้คัดค้านที่ว่า กรณีนี้เป็นการชำระหนี้โดยเสร็จเด็ดขาดแล้ว มิใช่การโอนทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๔ อันจะต้องขอให้เพิกถอนได้นั้น ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๐ บัญญัติว่า “การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลาสามปีก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้น ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนการโอนหรือการกระทำนั้นได้ เว้นแต่ผู้รับโอนหรือผู้รับประโยชน์จะแสดงให้พอใจศาลว่าการโอนหรือการกระทำนั้นได้กระทำโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน” ความในมาตรานี้ระบุชัดแจ้งว่ามิได้ห้ามเฉพาะการโอนทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงการกระทำใดๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วย การชำระหนี้ของบริษัทลูกหนี้ตามข้อตกลงประนอมหนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามความหมายแห่งมาตราดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาให้เพิกถอนการชำระหนี้ชอบแล้ว ฎีกาเจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เกี่ยวกับดอกเบี้ย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอให้เจ้าหนี้ชำระนับตั้งแต่วันที่ศาลสั่งเพิกถอนไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ แต่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้กล่าวว่าให้ชำระตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด อันเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขเพิ่มความให้ครบ
พิพากษายืน เว้นแต่เรื่องดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้ผู้คัดค้านชำระนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ