คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศให้ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลของจำเลยที่ 1 คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องหนี้เหนือบุคคลระหว่างโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยกรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(3)โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 เข้ามาในประเทศไทยชั่วคราว เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้เข้ามาในประเทศไทยเลย แม้จะตั้งบุคคลอื่นเป็นตัวแทนในประเทศไทยในการฟ้องหรือต่อสู้คดี โจทก์ก็ไม่มีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดในรัฐมาลายา ในสหพันธ์รัฐมาเลเซีย และมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และหรือจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนในประเทศไทย ให้มีอำนาจต่าง ๆ เกี่ยวกับภาษีรวมทั้งยื่นฟ้องคดี เริ่มคดีต่อสู้คดี กับกรมสรรพากร รายละเอียดตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจและคำแปลเอกสารหมาย 1 ท้ายฟ้อง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาในต่างประเทศ จะต้องรับผิดชอบชำระหนี้ค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ เป็นส่วนตัว เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2506 จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงโจทก์ขอชำระภาษีเงินได้จากค่าธรรมเนียมจัดการซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับจากบริษัทซะเทินคินตา คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด บริษัทกำมุนติงทินเดร็ดยิง ลิมิเต็ดและบริษัททุ่งคาฮาเบอร์ทิน เดร็ดยิง ลิมิเต็ด ระหว่างรอบบัญชีปี 2498 – 2503 เป็นเงินภาษีเงินได้ 55,496 บาท 73 สตางค์ เจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลของโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 เสียภาษีเงินได้ไม่ถูกต้อง จึงประเมินเงินได้นิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ใหม่เป็นเงิน 274,833 บาท 88 สตางค์ จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ลดภาษีลงคงเรียกเก็บ 66,780 บาท 83 สตางค์ โจทก์แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ทราบเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2519 จำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าภาษีและมิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เป็นอันถึงที่สุด ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 66,870 บาท 83 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว สั่งรับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาและอยู่ต่างประเทศ ไม่อยู่ในเขตอำนาจศาล จึงไม่รับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1

โจทก์อุทธรณ์ขอให้รับฟ้องจำเลยที่ 1

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดกัวลาลัมเปอร์ สหพันธ์รัฐมาลาเซีย คำฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เป็นเรื่องหนี้เหนือบุคคลระหว่างโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย และจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาในประเทศไทย กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(3) โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 เข้ามาในประเทศไทยชั่วคราว แต่คดีนี้จำเลยที่ 1 มิได้เข้ามาในประเทศไทยเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนในประเทศไทยในการฟ้องคดี หรือต่อสู้คดีกับกรมสรรพากร เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินคดีของจำเลยที่ 1เท่านั้น จะถือเอาว่าจำเลยที่ 1 เข้ามาในประเทศไทยแล้วหาได้ไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share