คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2483

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะได้แถลงว่าไห้การรับสารภาพก็ดีแต่เมื่อจำเลยได้เล่าเรื่องการกระทำของจำเลยต่อไปอีกซึ่งมีความหมายไม่ตรงกับคำรับของจำเลยเช่นนี้ศาลต้องถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบ ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อุบายหลอกลวงโดยกล่าวเท็จแก่นายดิลกว่าจำเลยเป็นนายตำรวจสันติบาล ขอยืมทรัพย์และของของนายดิลกอ้างว่าเพื่อจะเอาไปใช้ในราชการ นายดิลกหลงเชื่อจึงได้มองของให้จำเลยไป ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ได้บรรยายความต่อไปว่า “กระผมพ้นโทษมาแล้วก็ยังหาการงานทำไม่ได้ กระผมนายดิลกกับเพื่อนของกระผมจึงแนะนำให้รู้จัก กระผมจึงอ้างตัวก็เพื่อจะหาการงานรู้จักเขามากขึ้น ครั้นต่อมาโดยความสนิทสนมกับกระผม ๆ จึงได้ขอยืมของเหล่านี้ไปเพื่อจะหาการงานทำ”โจทก์ไม่สืบพะยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม โจทก์ฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การรับจะลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงมิได้ พิพากษาแก้ในข้อที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามมาตรา ๓๐๖
โจทก์ฎีกาว่า ตามฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง
ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ดังกล่าวแล้วมีข้อความพอที่จะเข้าใจได้ว่าจำเลยกระทำการฉ้อโกงอันเป็นความผิดมาตรา ๓๐๖ แต่คำให้การจำเลยที่ยื่นต่อศาลมีข้อความดังกล่าวข้างต้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยให้การรับว่าได้กระทำผิดตามฟ้องในฐานนี้ กล่าวคือต้องหมายความว่าที่จำเลยกล่าวเท็จว่าเป็นนายตำรวจนั้น เพื่อจะหาการงานทำหาใช่เพื่อให้นายดิลกส่งทรัพย์ไม่ และการที่จำเลยยืมทรัพย์ของนายดิลก ๆ ยอมให้ก็โดยความเชื่อถือจำเลยที่มีความสนิทสนมต่อกันมา หาใช่โดยถูกหลอกลวงดังฟ้องไม่ แม้จำเลยจะให้การรับว่า “ขอรับสารภาพตลอดข้อหาก็ดี เมื่อคำบรรยายเล่าเรื่องการกระทำของจำเลยซึ่งถือว่าเป็นขอความที่จำเลยกระทำผิดจริงเช่นนี้ ศาลต้องถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้สมฟ้อง จะลงโทษจำเลยตามมาตรา ๓๐๖ ไม่ได้ พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share