แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 ในบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,347,571.19 บาท แต่ในบัญชีของจำเลยที่ 2 มีเงินเพียง 490 บาท โจทก์ขอรับเงิน 490 บาท พร้อมแถลงไม่ติดใจอายัดเงินในบัญชีของจำเลยที่ 2 การที่ธนาคารส่งมอบเงินตามสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 จำนวน 490 บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและแจ้งเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีสอบถามเพิ่มเติมว่าบัญชีของจำเลยที่ 2 ที่ใช้กับธนาคารมียอดเป็นลูกหนี้ธนาคารอยู่ ย่อมแสดงให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 ในบัญชีเงินฝากธนาคารที่โจทก์ขอให้อายัดมีจำนวนเงินเพียง 490 บาท ตามที่ธนาคารส่งมอบแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น การอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเสร็จสิ้นไปแล้ว แม้เงินจำนวน 490 บาท นั้นจะไม่ครบจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ก็ตาม และหากต่อมาปรากฏว่ามีเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ที่จำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกร้องเกิดขึ้นใหม่ โจทก์ก็มีสิทธิที่จะขอให้อายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการบังคับคดี ความรับผิดในค่าธรรมเนียมการถอนอายัดร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่ขออายัดตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 ประกอบมาตรา 26 และ ป.วิ.พ. ตาราง 5 ข้อ 4 จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์ขอรับเงินจำนวน 490 บาท ที่อายัดได้นั้น โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมอัตราร้อยละ 3.5 ตามตาราง 5 ข้อ 2 ของจำนวนเงิน 490 บาท
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 ในบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,347,571.19 บาท เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง โดยให้ธนาคารส่งมอบเงินแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแจ้งการอายัด และเมื่อธนาคารส่งมอบเงินจำนวน 490 บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนดดังกล่าว โจทก์ขอรับเงินจำนวน 490 บาทนั้น พร้อมแถลงไม่ติดใจอายัดเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 และขอถอนการอายัดชั่วคราว ซึ่งหลังจากสอบถามเพิ่มเติมและได้รับแจ้งจากธนาคารว่าบัญชีของจำเลยที่ 2 ที่ใช้กับธนาคารมียอดเป็นลูกหนี้ธนาคารอยู่เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,778,374.96 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีมีความเห็นว่าการอายัดคงมีผลอยู่จนกว่าหนี้ตามคำพิพากษาจะได้รับชำระจนครบถ้วน หรือบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ได้ปิดแล้ว เพราะหากมีเงินรายได้ปรากฏขึ้นเมื่อใด ธนาคารก็ยังมีหน้าที่ส่งเงินมาให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน ฉะนั้น หากโจทก์ประสงค์จะถอนการอายัด โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมถอนการอายัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 5 ข้อ 4 จำนวนร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่อายัด อันหมายถึงจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งอายัดไป การที่โจทก์แถลงขอถอนการอายัดชั่วคราว แต่ได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือถอนการอายัดไปถึงธนาคาร แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาที่จะถอนการอายัด จึงเห็นควรให้คิดค่าธรรมเนียมการถอนอายัด จำนวนร้อยละ 1 ของจำนวนเงิน 1,347,571.19 บาท ที่อายัด แต่เมื่อปรากฏว่าธนาคารส่งเงินตามที่อายัดแล้วจำนวน 490 บาท จึงให้หักเงินจำนวนดังกล่าวออกจากจำนวนเงินที่แจ้งอายัดก่อน แล้วให้คิดร้อยละ 1 จากจำเลยเงินที่เหลือ ซึ่งหมายถึงร้อยละ 1 ขอยอดหนี้ที่ค้างอยู่ คิดเป็นค่าธรรมเนียมถอนการอายัดที่โจทก์จะต้องชำระเป็นเงินจำนวน 13,051.15 บาท และแจ้งให้โจทก์วางชำระค่าธรรมเนียมถอนการอายัดดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ค่าธรรมเนียมถอนการอายัดคิดเพียงร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่อายัดได้ หาใช่คิดจากจำนวนเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งอายัดไปไม่ แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่อาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในส่วนนี้เพราะไม่มีเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 เหลืออยู่แล้วและไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่กำหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บค่าธรรมเนียมถอนการอายัดในกรณีที่ไม่มีเงินที่ถูกอายัด โจทก์ยินดีเสียค่าธรรมเนียมจำนวนร้อยละ 3.5 ของจำนวนเงิน 490 บาท ที่อายัดได้และโจทก์ขอรับ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 โดยวิธีการอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 ในบัญชีเงินฝากธนาคาร เมื่อโจทก์ขอถอนการอายัด โจทก์ก็ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมการถอนอายัดในอัตราตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 5 ข้อ 4 ซึ่งในกรณีนี้มีการส่งเงินมาไม่ครบตามจำนวนหนี้และบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ยังไม่ได้มีการปิดแต่อย่างใด จึงคิดในอัตราร้อยละ 1 ของยอดหนี้ที่ค้างชำระ ให้ยกคำร้องโจทก์ ค่าคำร้องให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า การอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 ในบัญชีเงินฝากธนาคารมิใช่เป็นการอายัดสิทธิเรียกร้องแห่งรายได้เป็นคราว ๆ ซึ่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบมาตรา 26 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 313 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้รวมตลอดถึงจำนวนเงินซึ่งถึงกำหนดชำระภายหลังการอายัดนั้นด้วย ฉะนั้น การที่ธนาคารส่งมอบเงินตามสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 จำนวน 490 บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนดที่ได้รับแจ้งการอายัด และแจ้งเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีสอบถามเพิ่มเติมว่าบัญชีของจำเลยที่ 2 ที่ใช้กับธนาคารมียอดเป็นลูกหนี้ธนาคารอยู่เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,778,774.96 บาท ย่อมแสดงให้เห็นว่าสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 ในบัญชีเงินฝากธนาคารที่โจทก์ขอให้อายัดมีจำนวนเงินเพียง 490 บาท ตามที่ธนาคารส่งมอบแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น การอายัดสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเสร็จสิ้นไปแล้ว แม้เงินจำนวน 490 บาท นั้นจะไม่ครบจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ก็ตาม และหากต่อมาปรากฏว่ามีเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ที่จำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกร้องเกิดขึ้นใหม่ โจทก์ก็มีสิทธิที่จะขอให้อายัดสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการบังคับคดี ข้ออ้างของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ว่าการอายัดยังคงมีผลอยู่จนกว่าหนี้ตามคำพิพากษาจะได้รับชำระจนครบถ้วนหรือบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ได้ปิดแล้ว ล้วนฟังไม่ขึ้น กรณีจึงไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่โจทก์จะขอถอนการอายัดซึ่งได้เสร็จสิ้นไปแล้วนั้นอีก ความรับผิดในค่าธรรมเนียมการถอนอายัดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบมาตรา 26 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 5 ข้อ 4 จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์ขอรับเงินจำนวน 490 บาท ที่อายัดได้นั้น โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมอัตราร้อยละ 3.5 ตามตาราง 5 ข้อ 2 คำสั่งของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมการถอนอายัด แต่ให้เสียค่าธรรมเนียมอัตราร้อยละ 3.5 ของเงินจำนวน 490 บาท ที่อายัดได้และโจทก์ขอรับ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.