แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องแย้งของจำเลยตั้งประเด็นว่าโจทก์กระทำการล่าช้าอันเป็นการผิดข้อตกลงต่อจำเลยทำให้บริษัทโซล่าการ์ดจำกัดแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเลิกสัญญากับบริษัทโซล่ากรุ๊ปจำกัดที่จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญากู้และสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับขอให้บังคับจำนองฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้และสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 2,755,909 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,171,446.15 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จถ้าจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบก็ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ ถ้าได้เงินไม่พอก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1เกี่ยวกับสถานะของโจทก์ไม่ถูกต้อง หนังสือมอบอำนาจเป็นการมอบอำนาจทั่วไปจึงไม่อาจนำมาฟ้องได้ โจทก์และจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กัน จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทโซล่า กรุ๊ปจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายและนำเข้าฟิล์มกรองแสง ฟิล์มนิรภัยและฟิล์มติดกระจกชนิดต่าง ๆ ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจากบริษัทโซล่าการ์ด จำกัด แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านทางบริษัทโซล่าการ์ดเอเซีย จำกัด ให้เป็นผู้ค้าฟิล์มกรองแสงฟิล์มนิรภัย และฟิล์มติดกระจกชนิดต่าง ๆ อันมียี่ห้อเครื่องหมายการค้าของบริษัทโซ่ล่าการ์ด จำกัด (อเมริกา) โดยจำเลยชำระเงินค่าสิทธิตามสัญญาไปแล้ว 800,000 บาท ซึ่งตามสัญญาจำเลยจะต้องสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทดังกล่าวเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า50,000 ตารางฟุต จำเลยจึงติดต่อกับนางดาราวดี รตนาภรณ์ผู้จัดการธนาคารโจทก์ สาขาสุขุมวิท 35 ก็ได้รับคะแนนนำให้จำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกันในการกู้ยืมเงินและเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในฐานะส่วนตัว เพื่อนำเงินไปใช้ในธุรกิจของบริษัทโซล่า กรุ๊ป จำกัด โดยโจทก์รับว่าจะอนุมัติการกู้ยืมเงินและเบิกเงินเกินบัญชีให้เสร็จสิ้นเสียก่อนวันถึงกำหนดตามเงื่อนไขที่จำเลยมีต่อบริษัทต่างประเทศและมอบหมายให้โจทก์เป็นผู้ส่งเงินไปชำระให้แก่บริษัทคู่ค้าของจำเลยในประเทศสหรัฐอเมริกาแต่ปรากฏว่าโจทก์ดำเนินการให้ไม่แล้วเสร็จตามสัญญาผู้จัดการสาขาสุขุมวิท 35 ของโจทก์แนะนำให้จำเลยส่งเงินบางส่วนตามเงื่อนไขไปให้บริษัทคู่ค้าของจำเลยในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยวิธีการส่งแบบ “สวิพท์” ซึ่งเป็นวิธีการส่งที่รวมเร็วจำเลยจึงดำเนินการตามที่แนะนำ แต่ภายหลังจำเลยทราบว่าวิธีการดังกล่าวผิดหลักการการโอนเงินทางการค้า จำเลยได้ติดต่อไปยังบริษัทคู่ค้าที่สหรัฐอเมริกาก็ได้รับการปฏิเสธการรับเงินตามจำนวนที่ส่งไป และตั้งกฎเกณฑ์ในการต่อสัญญาอีกมากมายจนจำเลยไม่อาจรับได้ ต่อมาจำเลยกับบริษัทคู่ค้าต้องเลิกสัญญากันทำให้จำเลยเสียหายเป็นเงิน 7,754,763 บาท แต่จำเลยขอคิดเพียง 4,000,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ปลดจำนองและชำระค่าเสียหาย 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะคำให้การของจำเลย ส่วนฟ้องแย้งนั้นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงไม่รับ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าฟ้องแย้งเกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้และสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งขอบังคับจำนอง ที่จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ทำงานล่าช้าไม่เป็นไปตามข้อตกลงกับจำเลย ทำให้จำเลยไม่สามารถเบิกเงินจากโจทก์ส่งไปให้บริษัทโซล่าการ์ด จำกัด แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นคู่สัญญากับบริษัทโซล่า กรุ๊ป จำกัด ที่จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการได้ทันตามกำหนด โจทก์จึงแนะนำให้จำเลยส่งเงินแบบ “สวิพท์” ซึ่งเป็นวิธีการที่รวดเร็วจำเลยได้ดำเนินการตามแต่ภายหลังทราบว่าเป็นการผิดหลักการทางการค้าเป็นเหตุให้บริษัททั้งสองดังกล่าวเลิกสัญญาต่อกัน ทำให้จำเลยเสียหายดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการตั้งประเด็นว่า โจทก์กระทำการล่าช้าอันเป็นการผิดข้อตกลงต่อจำเลย ทำให้บริษัทโซล่าการ์ดจำกัด แห่งประเทศสหรัฐอเมริกาเลิกสัญญากับบริษัทโซล่ากรุ๊ปจำกัด ที่จำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องโจทก์ที่ตั้งประเด็นว่า จำเลยผิดสัญญากู้และสัญญากู้เงินเกินบัญชีกับขอให้บังคับจำนอง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมเป็นฟ้องแย้งที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม
พิพากษายืน