คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความที่ผู้ถูกกล่าวหาลงแสดงในเฟซบุ๊กมีข้อความที่ไม่เป็นความจริงกล่าวหาว่าศาลดำเนินคดีไม่เป็นธรรม และไปถ่ายรูปในบริเวณศาลนำมาลงประกอบข้อความเท็จของตนในเฟซบุ๊กว่าศาลเรียกเงิน และมีข้อความลงข่มขู่ศาลว่าจะยิงทำร้าย ขอให้ผู้พิพากษาระวังตัว อันเป็นข้อความที่ประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชนหรือเหนือศาล และเป็นการรายงานกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่ถูกต้องและเป็นเท็จ แม้ผู้ถูกกล่าวหาลงข้อความในเฟซบุ๊กโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของผู้ถูกกล่าวหา แต่เมื่อข้อความส่วนหนึ่งเกิดจากการถ่ายรูปบุคคลในบริเวณศาล เพื่อนำไปประกอบข้อความเท็จที่ตนใช้แสดงต่อสาธารณชน ย่อมถือได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล มีความผิดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 31 (1) นอกจากนี้ การที่ผู้ถูกกล่าวหาแสดงข้อความเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในศาล แสดงความเท็จว่าตนถูกศาลกลั่นแกล้งเป็นความผิดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 32 (2) ด้วย อันเป็นการกระทำต่างกรรม ต่างเจตนา และต่างบทกฎหมาย ชอบที่จะลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้ทั้งสองกรรม.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากพนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราชฟ้องผู้ถูกกล่าวหาขอให้ลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล
ผู้ถูกกล่าวหารับข้อเท็จจริงว่า เป็นผู้ลงข้อความในเฟซบุ๊กของตนตามที่ถูกกล่าวหาจริง ไม่ประสงค์แก้ข้อกล่าวหา
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นการละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31 (1) จึงมีคำสั่งให้ลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 33 มีกำหนด 6 เดือน ผู้ถูกกล่าวหารับข้อเท็จจริงตามที่ถูกกล่าวหา เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน นับโทษต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3556/2557 ของศาลชั้นต้น
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3556/2557 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 7 ปี 12 เดือน และปรับ 406,000 บาทศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ผู้ถูกกล่าวหาได้พิมพ์ข้อความในคอมพิวเตอร์โดยมีเจตนาเผยแพร่ในเว็บไซต์เฟซบุ๊กของผู้ถูกกล่าวหา สำหรับข้อความเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการกล่าวถึงศาลยุติธรรมและผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้เผยแพร่ลงในเว็บไซต์เฟซบุ๊กตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2557 เวลา 20.49 นาฬิกา ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าวข้อความว่า “วันนี้ไปขึ้นศาลมาศาลยุติธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราชก็คือการยุติความเป็นธรรมไปเสียแล้ว… ผู้พิพากษาคนที่ 3 ในคดี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ได้เร่งรัดให้สอบสวนให้เสร็จภายในวันนี้เลย คือให้โอกาสทนายใหม่ ได้ปรึกษาคดีกับลูกความให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 15 นาที แล้วจะได้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป… (ผจก. ผู้พิพากษาเป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง) การกระทำดังกล่าวของผู้พิพากษาคนที่ 3 ซึ่งเป็นรองผจก. ผู้พิพากษา เป็นการกระทำเพื่อจะทำให้ผม ส.จ.อู๊ด กลายเป็นคนผิดให้ได้… ทนายคนใหม่ของผม คือ พี่เบียร์ โดนข่มขู่ จากรองผจก. ผู้พิพากษา ฟ้องร้องสภาทนายความให้เพิกถอนใบอนุญาต สาเหตุเพราะทนายเบียร์ขอถอนตัวจากคดี ทำให้รองผจก.ผู้พิพากษาไม่สามารถดำเนินการพิจารณาคดีที่ไม่มีความเป็นธรรมนี้ การบังคับให้ผม ส.จ.อู๊ด ต้องหาทนายใหม่ ให้ได้เดี๋ยวนั้นเลย โดยขณะนั้นกำลังสืบคดีอื่นยังไม่เสร็จ… รองผจก. ศาลยื่นข้อเสนอให้ทนายเบียร์ยกเลิกถอนตัวจากคดี เพื่อแลกกับการไม่ฟ้องร้องสภาทนายความให้เพิกถอนใบอนุญาต แต่ทนายเบียร์ไม่ยอมรับข้อเสนอ…รองผจก. ผู้พิพากษานำเรื่องออกจากศาลไปหา ผจก. ผู้พิพากษาโดนเกลี้ยกล่อมจาก ผจก. ผู้พิพากษา ได้ใช้พนักงานมาเรียกทนายเบียร์เข้าไปพบที่ห้องส่วนตัวบนตึกชั้น 2 ของที่ทำการศาล โดยไม่ยินยอมให้ ส.จ. อู๊ด เข้าไปรับฟังด้วย การเกลี้ยกล่อมให้ทนายเบียร์กลับมารับทำคดีในวันนี้ต่อ เพื่อจะได้ดำเนินการสืบจำเลย ในขณะที่จำเลยไม่มีความพร้อมเนื่องจากขาดทนาย การเกลี้ยกล่อมให้ทนายเบียร์อย่าฟ้องคดีต่อศาลว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบตามมาตรา 157 เมื่อทนายเบียร์ตกลง ศาลจึงยอมให้เลื่อนวันเป็นวันที่ 29 การกระทำของ ผจก. สมควรจะด่าคำว่าอะไรดีคับ…” เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2557 เวลา 19.49 นาฬิกา ข้อความว่า “นี่คือนิทานเกี่ยวกับศาล… ผู้พิพากษาคนที่ 3 ในคดี ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ได้เร่งรัดให้สอบสวนให้เสร็จภายในวันนี้เลย คือให้โอกาสทนายใหม่ได้ปรึกษาคดีกับลูกความให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 15 นาที แล้วจะได้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป… (ผจก. ผู้พิพากษา เป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง) การกระทำดังกล่าวของผู้พิพากษาคนที่ 3 ซึ่งเป็นรองผจก. ผู้พิพากษา เป็นการกระทำเพื่อจะทำให้ผม ส.จ. อู๊ด กลายเป็นคนผิดให้ได้… ทนายความใหม่ของผม คือ พี่เบียร์โดนข่มขู่จากรองผจก. ผู้พิพากษา ฟ้องร้องสภาทนายความให้เพิกถอนใบอนุญาต สาเหตุเพราะทนายเบียร์ขอถอนตัวจากคดี ทำให้รองผจก. ผู้พิพากษา ไม่สามารถดำเนินการพิจารณาคดีที่ไม่มีความเป็นธรรมนี้ การบังคับให้ผม ส.จ. อู๊ด ต้องหาทนายใหม่ให้ได้เดี๋ยวนั้นเลย โดยขณะนั้นกำลังสืบคดีอื่นยังไม่เสร็จ… รองผจก. ศาลยื่นข้อเสนอให้ทนายเบียร์ยกเลิกถอนตัวจากคดี เพื่อแลกกับการไม่ฟ้องร้องสภาทนายความให้เพิกถอนใบอนุญาต แต่ทนายเบียร์ไม่ยอมรับข้อเสนอ รองผจก. ผู้พิพากษานำเรื่องออกจากศาลไปหาผจก. ผู้พิพากษา โดนเกลี้ยกล่อมจากผจก. ผู้พิพากษา ได้ใช้พนักงานมาเรียกทนายเบียร์เข้าไปพบที่ห้องส่วนตัวบนตึกชั้น 2 ของที่ทำการศาล โดยไม่ยินยอมให้ ส.จ. อู๊ด เข้าไปรับฟังด้วย การเกลี้ยกล่อมให้ทนายเบียร์กลับมารับทำคดีในวันนี้ต่อ เพื่อจะได้ดำเนินการสืบจำเลย ในขณะที่จำเลยไม่มีความพร้อมเนื่องจากขาดทนาย การเกลี้ยกล่อมให้ทนายเบียร์อย่าฟ้องคดีต่อศาลว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามมาตรา 157 เมื่อทนายเบียร์ตกลงศาลจึงยอมให้เลื่อนวันเป็นวันที่ 29 การกระทำของ ผจก. สมควรจะด่าว่าอะไรดีคับ” เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2557 ข้อความว่า “…ครั้งที่ 2 ทนายของผมไปซูเอี๋ยกับฝ่ายเค้า ไม่ส่งหลักฐานในศาลให้ เมื่อรู้ก่อนวันขึ้นศาลได้ 2 วัน เลยปลดออกไป แต่งตั้งทนายใหม่ขึ้นมา วันไปศาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนนัด แต่ศาลไม่ยอม ยืนกรานด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าวว่า ไม่ให้เลื่อน โดยให้เวลาทนาย 15 นาที เพื่อสอบถามและหาแนวทางในการต่อสู้คดี แล้วทนายที่ไหนจะทำได้ ทนายจึงหาทางออกให้ โดยทนายขอถอนตัวจากการว่าความในคดีของผม ส.จ. อู๊ด ศาลเกิดความโมโหอย่างมาก ทำเรื่องฟ้องเป็นหนังสือในขณะนั้นเลยถึงสภาทนายความ ให้ยึดใบอนุญาตการว่าความของทนาย จากนั้นก็ให้เวลาผมครึ่งชั่วโมง ในการหาทนายความคนใหม่ แล้วมาดำเนินการในชั้นศาลต่อไป” เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2557 เวลา 22.47 นาฬิกา ข้อความว่า “คดีไหนบ้างที่ต้องเปลี่ยนผู้พิพากษา 3 คน แต่คดีผม ส.จ. อู๊ด ต้องเปลี่ยนผู้พิพากษา 3 คนคับ 1. ผู้พิพากษาท่านแรกขอให้ผม ส.จ. อู๊ด เลื่อนการสอบสวนไปให้ตรงกับช่วงการย้ายของท่านพอดี 2. ผู้พิพากษาท่านที่ 2 ขอเปลี่ยนตนเองไม่ขอพิจารณาคดีนี้ 3. ผู้พิพากษาท่านที่ 3 ทำทุกวิธีการให้หลักฐานไม่เข้าสู่กระบวนการ…” เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2557 เวลา 4.24 นาฬิกา ข้อความว่า “หลักฐาน การเชื่อมโยงอย่างเป็นขบวนการ ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด, ชุดเฉพาะกิจศรีวิชัย, ตำรวจ, กองพิสูจน์หลักฐาน, อัยการ, ผู้พิพากษา คือการตัดคำให้การในบันทึกการจับกุมออกไป เพื่อไม่ให้ผม ส.จ. อู๊ด ได้ใช้เป็นหลักฐานชี้แจงในเบื้องต้น ผู้พิพากษาจึงเร่งดำเนินการสอบสวนโดยไม่เป็นธรรม…” เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2557 เวลา 23.33 นาฬิกา ข้อความว่า “ครั้งที่ 2 ทนายของผมไปซูเอี๋ยกับฝ่ายเค้า ไม่ส่งหลักฐานในศาลให้ เมื่อรู้ก่อนวันขึ้นศาลได้ 2 วัน เลยปลดออกไปแต่งตั้งทนายใหม่ขึ้นมา วันไปศาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอเลื่อนนัด 2.1 แต่ศาลไม่ยอม ยืนกรานด้วยน้ำเสียงอันแข็งกร้าวว่า ไม่ให้เลื่อน ต้องสืบให้เสร็จในวันนี้ 2.2 โดยให้เวลาทนาย 15 นาที เพื่อสอบถามและหาแนวทางในการต่อสู้คดีแล้วทนายที่ไหนจะทำได้ 2.3 ทนายจึงหาทางออกให้ โดยขอถอนตัวจากการว่าความในคดีผม ส.จ. อู๊ด 2.4 การข่มขู่ให้ทนายความว่าความอย่าถอนตัว แต่ทนายก็ยืนยันถอนตัวเพราะลูกความเสียเปรียบ 2.5 ศาลเกิดความโมโหอย่างมาก ทำเรื่องฟ้องเป็นหนังสือในขณะนั้นเลยถึงสภาทนายความให้ยึดใบอนุญาตการว่าความของทนาย 2.6 จากนั้นศาลก็ให้เวลาผมครึ่งชั่วโมงในการหาทนายความคนใหม่ หรือถ้าหาไม่ได้ศาลก็จะหาทนายอาสาให้เลย แล้วมาดำเนินการต่อไป 2.7 ผม ส.จ. อู๊ด ตอบศาลไปว่า ผมยอมแพ้แล้ว ไม่ต้องสืบแล้วคับ ตัดสินไปเลย 2.8 ศาลขอพักการพิจารณา เพื่อไปปรึกษาหัวหน้า… 2.10 หัวหน้าศาลเรียกทนายไปคุยในห้องเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ทนายของผมว่าความต่อ แต่ทนายของผมปฏิเสธ ไม่เล่นด้วย ผมขอเข้าไปฟัง ก็ไม่ให้ฟัง ผมจึงยืนอยู่หน้าห้องแล้วพูดว่า ศาลอะไรวะมีการทำอย่างนี้ด้วยหรือ ในเมื่อจะเอาผิดผมให้ได้ ก็ใช้อำนาจสั่งผิด ติดคุกไปเลยสิ ผมยอมพวกคุณแล้ว สรุปวันนั้นศาลขอไม่ให้ยื่นร้องเรียน ฟ้องศาล…” เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2557 เวลา 18.38 นาฬิกา ข้อความว่า “ถูกอยู่เรือนจำ 3 วัน สรุปง่าย ๆ ว่า…ศาล…จะเชื่อสำนวนพนักงานสอบสวนตำรวจและสำนวนอัยการ…เหมือนตามที่พี่มณฑลพูดเลยคับ ทั้งที่ผมมีหลักฐานการยัดยาเสพติด โดยไม่สนใจหลักฐานอื่นใดทั้งสิ้น… เวรกรรมของประชาชน แต่ผม ส.จ. อู๊ด ก็ไม่กลัวหรอกคับ พวกคุณทำลาย การสร้าง 1 รอยยิ้มให้พระองค์ท่าน… สุภาษิต ชีวิต… มัน…ก็ต้องแลก…ด้วยชีวิต…ก็แค่นั้นเอง” เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2557 เวลา 2.16 นาฬิกา ข้อความว่า “คำเตือน…ถึงผู้พิพากษา ผมว่าท่านผู้พิพากษา ก็ไม่น่าจะรอดจากคุกนะครับ 5555 การตัดสินคดีโดยมิชอบของผม ส.จ. อู๊ด นั้น ดูง่ายนิดเดียวว่าท่านเจตนา ทำให้ผู้บริสุทธิ์มาต้องโทษในคดีอาญา 1. คือเมื่อหลักฐานที่ผม ส.จ. อู๊ด ไม่น่าเชื่อถือหรือรับฟังไม่ขึ้น 2. ก็ย่อมทำให้หลักฐานของโจทก์ ไม่น่าเชื่อตามด้วยเช่นกัน 3. เพราะเป็นหลักฐานเดียวกัน 4. จึงเป็นการตัดสินตามใจชอบของท่านผู้พิพากษา 5. มิใช่ตัดสินตามประจักษ์พยานและหลักฐานใด ๆ 6. จึงเป็นการบิดเบือนหลักฐานโดยเจตนาตีความไปเป็นอย่างอื่น คุกแน่ ๆ คับท่านผู้พิพากษา” เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2557 เวลา 4.26 นาฬิกา ข้อความว่า “…คำเตือน…ถึงหัวหน้าผู้พิพากษา 1. บ้านที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ใครเป็นคนสร้างให้ 2. การหาเงิน 9 ล้าน จะเอาไปทำอะไร 2.1 ท่านตั้งใครเป็นผู้หาเงิน 9 ล้านให้ ขอประทานโทษ… ที่ผมเสือกรู้เรื่องท่านทั้งหมดนะคับ นี่คือ การเตือนครั้งแรกและครั้งสุดท้ายนะคับ เตือนว่า อย่าทำความชั่วนะ เดี๋ยวภัยจะมาเยือน” เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2557 เวลา 7.42 นาฬิกา ข้อความว่า “คนนั่งข้างผม ส.จ. อู๊ด ก็คือบุคคลแรกที่หัวหน้าศาลให้หาเงิน 9 ล้านให้…” เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2557 เวลา 19.57 นาฬิกา ข้อความว่า “ฝากความถึง… หัวหน้าบริษัท ผู้พิพากษา 1. ไม่ต้องส่งใครมาเคลียร์กับผม ส.จ. อู๊ด อีก … 2. ไม่ต้องขู่ผมเรื่องถอนการประกันตัว 3. ไม่ต้องขู่เรื่องความปลอดภัยของผม พรุ่งนี้… ที่พวกคุณนัดประชุมกันเพื่อเล่นงานผมก็ทำไปตามสบายกัน” เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2557 เวลา 10 ชั่วโมงที่แล้ว ข้อความว่า “ฝากความถึง หัวหน้าบริษัทผู้พิพากษา เรื่อง ไม่ยอม จะเล่นงานผม ส.จ. อู๊ด ให้ได้ ประกาศศักดาว่าตนเองใหญ่ทั่วทั้งนคร 1. การสั่งห้ามมายุ่งเกี่ยวกับผม ส.จ. อู๊ด 2. การจัดตั้งกองกำลังจะมาถล่มผม ส.จ. อู๊ด ถ้าพวกคุณจะสร้างให้จังหวัดเป็นเมืองนักเลง เมืองอิทธิพล คิดจะฆ่ากูก็ทำมาเลย กู ส.จ. อู๊ด จะล้างพวกมึงเอง ทำความชั่วไว้ แล้วไม่รู้จักกลับตัว ยังมีจิตสำนึกชั่วร้าย…” เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2557 เวลา 18 ชั่วโมงที่แล้ว ข้อความว่า “รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ ตัวแสดงประกอบเหี้ยยอดเยี่ยม ได้แก่ รองหัวหน้าบริษัทผู้พิพากษาศาล ในบท 1. ขอให้จำเลยเปลี่ยนคำให้การ เพื่อตนเองได้พ้นผิด 2. หลอก ส.จ. อู๊ด ว่า ขอพักเที่ยงก่อน ช่วงบ่ายขึ้นให้การต่อ แต่กลับยกเลิกช่วงบ่ายไปเฉย ๆ เลย 3. หักหลังในความเมตตาที่ ส.จ. อู๊ด มอบให้ตามขอ ตัดสินให้ ส.จ. อู๊ด มีความผิด ผม ส.จ. อู๊ด ขอปรบมือให้เลย ไม่เหี้ยจริง ทำไม่ได้หรอกคับ…” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เวลา 7 ชั่วโมงที่แล้ว ข้อความว่า “ฝากความถึง หัวหน้าบริษัทผู้พิพากษา กูท้าให้มึงส่งคนมาเลย ไอ้พวกชั่วมึงกะกู มาตายกันสักข้าง” โดยมีภาพถ่ายผู้ถูกกล่าวหายืนถืออาวุธปืนเป็นภาพประกอบข้อความ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เวลา 6 นาทีที่แล้ว ข้อความว่า “แจ้งข่าวลับ ขณะนี้จังหวัดนครศรีธรรมราชเกิดความปั่นป่วน หัวหน้าบริษัทผู้พิพากษา พยายามวิ่งเต้นศาลอุทธรณ์ให้รับคดีของนาย ส.จ. อู๊ด ให้เร็วที่สุด เพื่อจะให้ ส.จ. อู๊ด ได้อ่านสำนวนและแก้ไขคดีไม่ทัน ซึ่งหัวหน้าบริษัทได้สั่งการทำเท็จใส่ ส.จ. อู๊ด เอาไว้ พูดแล้วก็น่าหัวเราะ 5555 กระจอกจริง ๆ ไม่ว่าพวกท่านจะทำอะไร ผม ส.จ. อู๊ด มีคนส่งข่าวให้คับ” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2557 เวลา 6 ชั่วโมงที่แล้ว ข้อความว่า “ฝากความถึง หัวหน้าบริษัทผู้พิพากษา เรื่อง ไม่ยอมจะเล่นงานผม ส.จ. อู๊ด ให้ได้ ประกาศศักดาว่าตนเองใหญ่ทั่วทั้งนคร 1. การสั่งห้ามมายุ่งเกี่ยวกับผม ส.จ. อู๊ด 2. การจัดตั้งกองกำลังจะมาถล่มผม ส.จ. อู๊ด ถ้าพวกคุณจะสร้างให้จังหวัดเป็นเมืองนักเลง เมืองอิทธิพล คิดจะฆ่ากูทำมาเลย กู ส.จ. อู๊ด จะล้างพวกมึงเอง ทำความชั่วไว้ แล้วไม่รู้จักกลับตัว ยังมีจิตสำนึกชั่วร้าย…” และยังมีอีกหลายข้อความอาทิข้อความว่า “… ใครอยากยิงพวกนี้ก่อนผม ก็ทำก่อนได้เลยคับ เพราะผม ส.จ. อู๊ด ยอมตกเป็นผู้ต้องสงสัยคนแรกคับ ผมไม่เคยล้อเล่นคับ…” และข้อความว่า “เงินสด เมื่อคืน ที่จะเอาใช้ทำงานพวกมึง และยังมีอีกหลาย 10 ล้าน…” โดยมีภาพถ่ายผู้ถูกกล่าวหานั่งถืออาวุธปืน พร้อมกับธนบัตรจำนวนมากเป็นภาพประกอบข้อความ
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาในข้อแรกว่า ในการไต่สวนข้อเท็จจริง องค์คณะผู้พิพากษาเป็นบุคคลที่ตามข้อเท็จจริงถูกพาดพิงกล่าวอ้างถึงรวมอยู่ด้วยจะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบหรือไม่ เห็นว่า ละเมิดอำนาจศาลเป็นบทบัญญัติพิเศษให้ศาลใช้เพื่อรักษาสถานะของสถาบันตุลาการที่อาจเผชิญสถานการณ์ของความขัดแย้งและความไม่สงบที่ผู้มีส่วนได้เสียในคดี หรือบุคคลใดกระทำการอันใดที่ไม่เรียบร้อย หรือกระทำการใดที่จะทำให้เสียหายต่อการพิจารณาคดีเพื่อให้เสียความยุติธรรม ผู้พิพากษาที่ปฏิบัติหน้าที่ในศาลนั้น ย่อมมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาว่ามีผู้กระทำการใดอันจะเป็นการละเมิดอำนาจศาลได้ หาไม่แล้วบุคคลผู้มุ่งหวังจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความยุติธรรมก็อาจยกอ้างเหตุดังกล่าวขึ้นกล่าวหาผู้พิพากษาทุกนายจนไม่มีผู้ใดจะพิจารณาคดีดังกล่าวซึ่งหาถูกต้องไม่ ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาต่อไปมีว่า ศาลชั้นต้นสอบถามผู้ถูกกล่าวหาโดยไม่ให้สาบานหรือจัดให้มีทนายความก่อนชอบหรือไม่ เห็นว่า ในวันที่ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริง เป็นกรณีที่ศาลดำเนินการไต่สวนหาความจริงในกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีผู้ละเมิดอำนาจศาล การกระทำดังกล่าวมิใช่การดำเนินคดีอาญาทั่วไป กรณีไม่อาจนำบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ในกรณีที่เป็นการดำเนินกระบวนการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้ ทั้งบทบัญญัติเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นบทบัญญัติพิเศษ กรณีจึงไม่มีเหตุต้องสอบถามผู้ถูกกล่าวหาเรื่องการมีทนายความ และกรณีมิใช่การสืบพยาน เป็นเพียงการไต่สวนด้วยการสอบข้อเท็จจริง จึงหาจำต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาสาบานตนก่อนไม่ ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาต่อไปมีว่า ผู้ถูกกล่าวหาลงข้อความในเฟซบุ๊กเพราะมีอาการบกพร่องทางจิตหรือไม่ เห็นว่า เดิมผู้ถูกกล่าวหาถูกดำเนินคดีเป็นจำเลยในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ถูกกล่าวหาได้ต่อสู้คดีโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีอาการบกพร่องทางจิต ทั้งพฤติการณ์ที่ผู้ถูกกล่าวหาลงข้อความในเฟซบุ๊กต่อเนื่องหลายคราวก็ไม่ปรากฏว่ามีความผิดปกติทางจิตจนไม่อาจรับรู้การกระทำของตน หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เมื่อถึงวันที่ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริง ผู้ถูกกล่าวหาก็ได้สื่อสารพูดคุยโต้ตอบได้เป็นปกติ ข้ออ้างของผู้ถูกกล่าวหาว่า เป็นโรคไบโพล่า มีอาการผิดปกติทางจิต จึงรับฟังไม่ได้ คดีมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้ถูกกล่าวหาลงข้อความในเฟซบุ๊กนอกเวลาทำการศาลจะเป็นการกระทำผิดละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ โดยผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่า ศาลล่างทั้งสองลงโทษผู้ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1) ที่ว่า “ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล” แต่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นนอกบริเวณศาลนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงและผู้ถูกกล่าวหารับในฎีกาแล้วว่า ผู้ถูกกล่าวหาลงข้อความในเฟซบุ๊กซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่สังคมออนไลน์อันเป็นสาธารณชนทั่วไปเข้าถึงข้อความดังกล่าวได้ โดยแสดงข้อเท็จจริงว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่เป็นธรรม กลั่นแกล้งผู้ถูกกล่าวหา มีการเรียกเงิน 9 ล้านบาท ซึ่งเป็นความเท็จ โดยนายปกาศิต ทนายความของผู้ถูกกล่าวหาได้ทำหนังสือชี้แจงรายละเอียด และเบิกความในชั้นไต่สวนของศาลว่า ได้ชี้แจงผู้ถูกกล่าวหาว่าข้อความที่ลงในเฟซบุ๊กไม่เป็นความจริง ขอให้ลบข้อความดังกล่าว แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่รับฟัง ซึ่งความดังกล่าวได้แสดงเหตุการณ์ที่ผู้ถูกกล่าวหาได้ลงข้อความเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม2557 เวลา 4.26 นาฬิกา ว่า “การหาเงิน 9 ล้านบาท จะเอาไปทำอะไร” แม้ในวันเดียวกันเวลา 7.42 นาฬิกา ผู้ถูกกล่าวหาลงภาพผู้ถูกกล่าวหาคู่กับชายผู้หนึ่ง ถ่ายภาพในบริเวณศาลแล้วลงข้อความว่า “คนนั่งข้างผม ส.จ. อู๊ด ก็คือบุคคลแรกที่หัวหน้าศาลให้หาเงิน 9 ล้านให้” ได้ความตามคำเบิกความของนายปกาศิตว่า ข้อความที่ผู้ถูกกล่าวหาลงในเฟซบุ๊กดังกล่าวไม่เป็นความจริง ชายดังกล่าวรู้จักกับนายปกาศิตชื่อนายนิตินัย โดยนายนิตินัยเบิกความต่อศาลในชั้นไต่สวนว่า นายปกาศิตมาเป็นทนายความให้ผู้ถูกกล่าวหา จึงมาศาลรอนายปกาศิตใต้ต้นไม้ แล้วผู้ถูกกล่าวหาขอถ่ายรูปด้วย แล้วนำไปลงในเฟซบุ๊กโดยไม่เป็นความจริง เพราะนายนิตินัยไม่รู้จักผู้พิพากษาคนใด ดังนี้ ข้อความที่ผู้ถูกกล่าวหาลงแสดงในเฟซบุ๊กจึงมีทั้งข้อความไม่เป็นความจริงกล่าวหาว่าศาลดำเนินคดีไม่เป็นธรรม มีทั้งไปถ่ายรูปในบริเวณศาลเพื่อนำมาลงประกอบข้อความเท็จของตนในเฟซบุ๊กว่าศาลเรียกเงิน และมีข้อความลงข่มขู่ศาลว่าจะยิงทำร้าย ขอให้ผู้พิพากษาระวังตัว อันเป็นข้อความที่ประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชนหรือเหนือศาล และเป็นการรายงานกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่ถูกต้องและเป็นเท็จ การที่ผู้ถูกกล่าวหาลงข้อความในเฟซบุ๊กโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของผู้ถูกกล่าวหา แต่เมื่อข้อความส่วนหนึ่งเกิดจากการถ่ายรูปบุคคลในบริเวณศาล เพื่อนำไปประกอบข้อความเท็จที่ตนใช้แสดงต่อสาธารณชน ย่อมถือได้ว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล มีความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1) นอกจากนี้ การที่ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงข้อความเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในศาล แสดงความเท็จว่าตนถูกศาลกลั่นแกล้ง ก็เป็นความผิดตามมาตรา 32 (2) อีกด้วย อันเป็นการกระทำต่างกรรม ต่างเจตนา และต่างบทกฎหมาย ที่ศาลชอบจะลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้ทั้งสองกรรม แต่การที่ศาลชั้นต้นเลือกใช้ดุลพินิจลงโทษแต่เพียงการกระทำตามมาตรา 31 (1) จึงเป็นคุณแก่ผู้ถูกกล่าวหามากแล้ว ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาข้อสุดท้ายของผู้ถูกกล่าวหาว่า กรณีมีเหตุปรานีโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ โดยผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าได้สำนึกผิดและขอขมาต่อศาล อีกทั้งต้องดูแลมารดาและครอบครัว นั้น เห็นว่า พฤติการณ์ในการต่อสู้คดี และข้ออ้างต่าง ๆ ในฎีกาของผู้ถูกกล่าวหา ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาสำนึกตัว อีกทั้งข้อความที่ลงข่มขู่จะยิงผู้พิพากษา รวมทั้งแสดงความเท็จในทุกสถาน เพื่อบิดเบือนความเข้าใจของมหาชน ดังที่ผู้ถูกกล่าวหากระทำ สมควรที่จะต้องลงโทษหนักให้เป็นที่หลาบจำ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษผู้ถูกกล่าวหาเพียงกรรมเดียว และยังลดโทษให้ 1 ใน 3 เป็นคุณยิ่งแล้ว ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน

Share