แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ข้อที่ว่าผู้ร้องเคยไปติดต่อขอรับรถยนต์ของกลางคืนในชั้นสอบสวนหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งสำหรับประกอบการวินิจฉัยประเด็นที่ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของอันแท้จริงของรถยนต์ที่ศาลได้สั่งริบไปนั้นหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบ ไม่ว่าผู้ร้องจะได้เคยไปติดต่อขอรับรถยนต์ของกลางคืนแล้วหรือว่าไม่เคยไปโดยมีเหตุผลที่น่ารับฟังก็ตาม ทนายผู้ร้องก็ควรซักถามให้ผู้ร้องเบิกความไว้ให้ปรากฏ เมื่อผู้ร้องไม่ได้เบิกความถึงเลย ครั้นโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำพยานมาสืบภายหลังได้ซักถามพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนและพยานปากนี้เบิกความว่าไม่มีผู้ใดไปร้องต่อพยานว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางนี้ดังนี้ จะถือว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 หาได้ไม่เพราะไม่ใช่กรณีที่โจทก์สืบพยานเพื่อหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำพยานของฝ่ายผู้ร้องที่นำสืบก่อนในข้อความทั้งหลายซึ่งพยานผู้ร้องเป็นผู้รู้เห็นทั้งไม่ใช่การสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกี่ยวกับการกระทำหรือถ้อยคำหรือหนังสือซึ่งพยานผู้ร้องได้กระทำขึ้น
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ฯและให้ริบไม้สักและรถยนต์บรรทุกของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถยนต์บรรทุกของกลางเป็นของผู้ร้อง ขอให้ส่งคืนรถยนต์ดังกล่าวแก่ผู้ร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ผู้ร้องฎีกาเป็นข้อแรกว่า เมื่อผู้ร้องนำสืบตนเองเป็นพยาน โจทก์มิได้ถามค้านว่าผู้ร้องเคยไปขอหรือติดต่อรับของกลางในชั้นสถานีตำรวจหรือไม่ หรือว่าไม่ไปเพราะเหตุใด ทำให้ผู้ร้องไม่สามารถ(ที่ถูกไม่มีโอกาส) ตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นสำคัญนี้ให้ทราบความจริงได้ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ถึงข้อความดังกล่าวแล้วแต่แล้วโจทก์กลับนำร้อยตำรวจเอกองอาจ ศรีอังกรู มาสืบว่า ไม่มีผู้ใดมาร้องว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางเป็นเหตุให้ผู้ร้องซึ่งเป็นฝ่ายที่ต้องเบิกความก่อนมิอาจแก้ข้อสงสัยข้อนี้ได้พยานโจทก์ปากนี้จึงรับฟังไม่ได้ เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่ว่าผู้ร้องเคยไปติดต่อขอรับรถยนต์ของกลางคืนในชั้นสอบสวนหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งสำหรับประกอบการวินิจฉัยประเด็นที่ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของอันแท้จริงของรถยนต์ที่ศาลได้สั่งริบไปนั้นหรือไม่ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบ ไม่ว่าผู้ร้องจะได้เคยไปติดต่อขอรับรถยนต์ของกลางคืนแล้ว หรือว่าไม่เคยไปโดยมีเหตุผลที่น่ารับฟังก็ตาม ทนายผู้ร้องก็ควรซักถามให้ผู้ร้องเบิกความไว้ให้ปรากฏ เมื่อผู้ร้องไม่ได้เบิกความถึงเลย ครั้นโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำพยานมาสืบภายหลังได้ซักถามร้อยตำรวจเอกองอาจ ศรีอังกรูพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนและพยานปากนี้เบิกความให้ข้อเท็จจริงชัดลงไปว่าไม่มีผู้ใดไปร้องต่อพยานว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางนี้ ดังนี้จะถือว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89หาได้ไม่ เพราะไม่ใช่กรณีที่ โจทก์สืบพยานเพื่อหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำพยานของฝ่ายผู้ร้องที่นำสืบก่อนในข้อความทั้งหลาย ซึ่งพยานผู้ร้องเป็นผู้รู้เห็น ทั้งไม่ใช่การสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกี่ยวด้วยการกระทำหรือถ้อยคำหรือหนังสือซึ่งพยานผู้ร้องได้กระทำขึ้น”
พิพากษายืน