คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6320/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เอกสารการชำระหนี้ของจำเลย แม้จะมีโจทก์ในฐานะ ผู้ให้กู้ได้ลงลายมือชื่อไว้ แต่เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้วกลับได้ความว่าโจทก์ได้รับเงินจากจำเลยเนื่องในกรณีที่จำเลยค้ำประกันหนี้รายที่ ฉ. เป็นผู้กู้เงินไปจากโจทก์ เท่ากับว่าจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับอื่นไม่ใช่ชำระหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ดังนั้นเอกสารดังกล่าวจะรับฟังเป็นหลักฐานการใช้เงินรายนี้ไม่ได้ และจำเลยจะนำสืบว่าเงินที่ชำระแทนฉ. กับเงินที่กู้โจทก์ตามฟ้องเป็นหนี้รายเดียวกันก็เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 12,231.25 บาทและดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 9,500 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ได้กู้เงินตามฟ้องจากโจทก์จริงแต่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว รายละเอียดปรากฏตามภาพถ่ายหลักฐานการรับเงินเอกสารท้ายคำให้การ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามคำฟ้องคำให้การคดีพอวินิจฉัยได้ สั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้ววินิจฉัยว่าเอกสารที่จำเลยอ้างท้ายคำให้การมิใช่หลักฐานที่จะนำสืบการใช้เงินในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสอง พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน9,500 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 2,731.25 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้และรับเงินไปจากโจทก์แล้ว จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญากู้จริงแต่ได้ชำระแล้ว ดังนี้ เท่ากับว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องจริงแต่ต่อสู้ว่าจำเลยได้ชำระแล้ว ประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่า จำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้แล้วหรือไม่เท่านั้น เมื่อจำเลยต่อสู้ว่าได้ชำระแล้วตามเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายมีเพียงว่าเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยดังกล่าวถือเป็นหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง หรือไม่เห็นว่า การนำสืบถึงการใช้เงินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้มาแสดงจึงจะรับฟังได้ แต่เมื่อพิเคราะห์เอกสารท้ายคำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้ว แม้จะมีโจทก์ในฐานะผู้ให้กู้ได้ลงลายมือชื่อไว้ แต่เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดดูแล้วกลับได้ความว่าโจทก์ได้รับเงินจากจำเลย เนื่องในกรณีที่จำเลยค้ำประกันหนี้รายที่นายเฉลิม ไกรคุ้มเป็นผู้กู้เงินไปจากโจทก์ เท่ากับว่าจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับอื่น ไม่ใช่ชำระหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องในคดีนี้ดังนั้นเอกสารท้ายคำให้การของจำเลยดังกล่าวจะรับฟังเป็นหลักฐานการใช้เงินรายนี้หาได้ไม่ และจำเลยจะนำสืบว่าเงินที่ชำระแทนนายเฉลิมกับเงินที่กู้โจทก์ตามฟ้องเป็นหนี้รายเดียวกันก็เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share