คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือโอนที่ดินพร้อมอาคารพิพาทแก่โจทก์ แต่ขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยรับชำระไปจากโจทก์ ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องได้ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมอาคารกับโจทก์ในราคา 770,000 บาท โจทก์วางมัดจำเป็นเงิน 10,000 บาทที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด จำเลยก่อสร้างอาคารเสร็จแล้วไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์อาคารและที่ดิน โดยขอผัดผ่อนตลอดมา โจทก์ให้ทนายบอกเลิกสัญญาและขอให้บังคับจำเลยคืนเงินที่รับไปจากโจทก์จำนวน 414,850 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยมีหนังสือแจ้งให้โจทก์นำเงินจำนวน354,150 บาท ไปชำระให้จำเลยหากไม่ชำระภายในกำหนด 10 วันถือเป็นการบอกเลิกสัญญาแต่จำเลยส่งหนังสือไม่ได้เพราะโจทก์ย้ายที่อยู่โดยไม่แจ้งให้ทราบนับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 5 ปีเศษ ถือว่าโจทก์เลิกสัญญาโดยไม่ติดใจเรียกร้อง จำเลยไม่ต้องคืนเงินฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 415,850 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยยังมีผล และการที่จำเลยนำอาคารพร้อมที่ดินไปโอนขายให้ผู้อื่นจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากจำเลยได้
ส่วนฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ต้องฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาภายในอายุความ 2 ปี เห็นว่า โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือโอนที่ดินพร้อมอาคารพิพาท แก่โจทก์แต่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยรับชำระไปจากโจทก์ซึ่งในเรื่องนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องได้ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม
พิพากษายืน

Share