คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมโจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางภารจำยอมอ้างว่าได้ภารจำยอมโดยอายุความเป็นทางรถยนต์กว้างประมาณ 4 เมตร แต่อ้างว่าทางพิพาทเดิมเป็นลำรางสาธารณะและตื้นเขินกลายเป็นทาง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อทางพิพาทเป็นลำรางสาธารณะซึ่งตื้นเขินจึงไม่อาจอ้างว่าได้ภารจำยอมคดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยอ้างว่าทางสาธารณะซึ่งเดิมเป็นลำรางนั้นกว้างเพียง 1.80 เมตรแต่โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้รถยนต์ผ่านทางนั้นและรุกล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลยอีกประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ18 เมตร โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาใช้เป็นทางเข้าออกเป็นเวลากว่า 10 ปี ทางกว้าง 2 เมตรจึงเป็นทางภารจำยอม ดังนี้ประเด็นในคดีก่อนกับประเด็นในคดีนี้จึงต่างกัน คดีนี้มีประเด็นตามคำฟ้องว่า ทางกว้างประมาณ2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร ในที่ดินจำเลยเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ ส่วนปัญหาว่าคดีก่อนโจทก์ทั้งสี่อ้างว่าลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายเป็นทางกว้างประมาณ4 เมตร จะคลุมถึงทางรถยนต์ที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้ว่าอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ18 เมตร หรือไม่นั้น จำเลยให้การในคดีก่อนว่าทางสาธารณะกว้างเพียง 1 เมตร เท่านั้น และโจทก์ทั้งสี่ใช้รถยนต์ผ่านทางเข้ามาในที่ของจำเลยกว้างประมาณ 1.80 เมตรจำเลยจึงสร้างกำแพงกั้น ดังนั้นประเด็นที่ว่าทางสาธารณะคลุมถึงทางที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้หรือไม่ ศาลยังมิได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ท 456/49 ในการเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ต้องผ่านทางสาธารณะซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันออก โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกโดยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยตลอดแนวทางทิศตะวันออกกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ18 เมตร ด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาใช้เป็นทางผ่านเพื่อประโยชน์ร่วมกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วจึงตกเป็นทางภารจำยอมแล้ว ต่อมาจำเลยได้ก่อสร้างกำแพงเข้าไปในทางภารจำยอม เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสี่ไม่สามารถใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกทางภารจำยอมได้ขอให้พิพากษาว่าทางที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินด้านทิศตะวันออกกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยประมาณ 18 เมตร เป็นทางภารจำยอม
จำเลยให้การว่า ทางสาธารณะที่อยู่ติดที่ดินจำเลยด้านทิศตะวันออกเป็นทางเดินกว้างเพียง 1 เมตร เท่านั้นโจทก์ทั้งสี่นำรถยนต์ผ่านทางเดินสาธารณะดังกล่าวเพื่อเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งสี่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยต่อมาโจทก์ทั้งสี่ต้องการใช้ที่ดินของจำเลยส่วนที่ถูกรุกล้ำเป็นทางรถยนต์ตลอดไปจึงได้ขยายทางเดินสาธารณะรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันออกให้กว้างออกไป 1.8 เมตร จำเลยเห็นว่าหากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้ที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันออก ตกอยู่ภายใต้ภารจำยอมจึงได้สร้างกำแพงกั้นในที่ดินของจำเลยฟ้องของโจทก์ทั้งสี่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 409/2530ของศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีก่อนคือคดีหมายเลขแดงที่ 409/2530ของศาลชั้นต้นนั้น โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางภารจำยอมโดยอ้างว่าได้ภารจำยอมโดยอายุความเป็นทางรถยนต์กว้างประมาณ 4 เมตร แต่อ้างว่า ทางพิพาทนั้นเดิมเป็นลำรางสาธารณะและตื้นเขินกลายเป็นทาง ศาลจึงวินิจฉัยว่าเมื่อทางพิพาทนั้นเป็นลำรางสาธารณะซึ่งตื้นเขิน จึงไม่อาจอ้างว่าได้ภารจำยอม คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์ทั้งสี่จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าทางสาธารณะที่เดิมเป็นลำรางสาธารณะนั้นกว้างเพียง 1.80 เมตร แต่โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้รถยนต์ผ่านทางนั้นและรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยอีกประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร โดยสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาใช้เป็นทางผ่านเข้าออก เป็นเวลากว่า10 ปี แล้ว ทางกว้าง 2 เมตร ในที่ดินของจำเลยจึงเป็นทางภารจำยอม ดังนั้นประเด็นในคดีก่อนและประเด็นในคดีนี้จึงต่างกัน เพราะคดีก่อนศาลวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่า เมื่อทางที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องเดิมเป็นลำรางสาธารณะและต่อมาตื้นเขินกลายเป็นทาง โจทก์ทั้งสี่จึงอ้างว่าได้ภารจำยอมไม่ได้แต่คดีนี้มีประเด็นตามคำฟ้องว่า ทางกว้างประมาณ 2 เมตรยาวประมาณ 18 เมตร ในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสี้นหรือไม่ ส่วนปัญหาว่าคดีก่อนโจทก์ทั้งสี่อ้างว่าลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายเป็นทางกว้างประมาณ 4 เมตร จะคลุมถึงทางรถยนต์ที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้ว่าอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร หรือไม่นั้น จำเลยให้การในคดีก่อนว่าทางสาธารณะกว้างเพียงประมาณ 1 เมตรเท่านั้น และโจทก์ทั้งสี่ใช้รถยนต์ผ่านทางเข้ามาในที่ของจำเลยกว้างประมาณ 1.80 เมตร จำเลยจึงสร้างกำแพงกั้น ดังนั้น ประเด็นข้อที่ว่าทางสาธารณะจะคลุมถึงทางที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้หรือไม่ ศาลยังมิได้วินิจฉัยในคดีก่อนประเด็นที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยในคดีนี้จึงมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ในคดีนี้จึงมิใช่ฟ้องซ้ำกับคดีก่อน คือคดีหมายเลขแดงที่ 409/2530ของศาลชั้นต้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share