คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1966/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยกันนั้น ในชั้นฎีกาจำเลยฎีกาเฉพาะค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5ไม่ได้เสียหายตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาซึ่งเป็นค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 แต่ละคนมีสิทธิได้รับไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งหกและจำเลยตกลงร่วมกันซื้อที่ดินโดยมีข้อตกลงว่า โจทก์ทั้งหกและจำเลยยินยอมให้ที่ดินส่วนที่ซื้อขายทางด้านทิศใต้นำมาทำถนนใช้เป็นทางเข้าออกสู่ที่ดินเชื่อมถนนสาธารณะหลังจากซื้อที่ดินแล้วได้แบ่งแยกออกโฉนดตามส่วนของแต่ละคนและได้จัดทำถนนขึ้นตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2532จำเลยได้นำคนงานมาขุดดินบริเวณข้างถนนและติดตั้งประตูเหล็กปิดกั้นถนนพร้อมใส่กุญแจปิดล็อกไว้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งหกแต่อย่างใด โจทก์ทั้งหกแจ้งให้จำเลยรื้อถอนแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนทำลายประตูเหล็กปิดกั้นถนนหินลูกรังและทำถนนหินลูกรังให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดีตามปกติหากจำเลยไม่ยอมทำตาม ขอให้โจทก์ทั้งหกเป็นผู้รื้อถอนทำลายประตูเหล็กโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมด กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้ให้โจทก์ทั้งหกคนละ 1,500 บาทต่อวัน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนทำลายประตูเหล็ก
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้ติดตั้งเหล็กกั้นถนนจริง แต่จำเลยมิได้ใส่กุญแจปิดล็อกไว้ โจทก์ทั้งหกฟ้องคดีนี้เป็นเพราะต้องการให้จำเลยไปจดทะเบียนให้ถนนเป็นภารจำยอม แต่จำเลยไม่ยินยอมการกระทำของโจทก์ทั้งหกเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาสองข้างทางบนถนนพิพาทและทำถนนให้กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนทำเหล็กกั้นถนน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 6
โจทก์ทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้ให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 คนละ 200 บาทต่อวัน นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อเสาสองข้างทางบนถนนพิพาท และทำถนนให้กลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนทำเหล็กกั้นถนน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งหกฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนประตูเหล็กปิดกั้นถนนหินลูกรังซึ่งโจทก์ทั้งหกและจำเลยได้ตกลงกันทำเป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ทั้งหกและจำเลยสู่ทางสาธารณะและเรียกค่าเสียหายให้จำเลยชำระให้โจทก์ทั้งหกคนละ 1,500 บาทต่อวัน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนทำลายประตูเหล็กศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเสาสองข้างทางบนถนนพิพาทและให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 6 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ที่ควรได้ให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5คนละ 200 บาท ต่อวัน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อเสาสองข้างทางบนถนนพิพาท ปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่ได้เสียหายตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทซึ่งเป็นค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5แต่ละคนมีสิทธิได้ไม่เกินสองแสนบาท และจำเลยยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2535 อันเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ใช้บังคับแล้ว ซึ่งมาตรา 248วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่นี้บัญญัติว่า “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง” จำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share