คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6313/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การและนำสืบว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1แต่ผู้เดียว โจทก์และจำเลยที่ 2 อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1ดังนี้ตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงว่าไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 เกินกว่าหนึ่งปีชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายโต๊ะบิดาโจทก์และจำเลยทั้งสองยกที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 20 ให้โจทก์และจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง โดยกำหนดให้ที่ดินส่วนทางทิศใต้เป็นของโจทก์ ส่วนทางทิศเหนือเป็นของจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อปี 2510 จำเลยที่ 1 จัดการให้จดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.3 ดังกล่าวทั้งแปลงเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว วันที่ 15 มกราคม 2530 จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุกที่ดินของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนลงชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 20 โดยให้มีสิทธิครอบครองร่วมกับจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง หากจำเลยที่ 1 ไม่ไป ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปห้ามเข้าไปเกี่ยวข้องและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 3,000 บาทนับแต่ปี 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า คำฟ้องเคลือบคลุม ที่ดินตามฟ้องบิดายกให้จำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว โจทก์และจำเลยที่ 2อาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 อยู่บนที่ดิน ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 205/2529 หมายเลขแดงที่ 310/2529 ระหว่างนางสำเนียง มั่นเกตวิทย์ โจทก์ นางทองใบ คำแก้ว จำเลยโจทก์ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแผนที่พิพาทหมาย ล.2 ส่วนที่อยู่ด้านทิศใต้เนื้อที่ไม่เกินกึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งแปลง ให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป และร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 3,000 บาท นับแต่ปี 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1เกินกว่าหนึ่งปีเป็นการไม่ชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยทั้งสองให้การและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวโจทก์และจำเลยที่ 2 อยู่โดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ดังนี้ตามคำให้การและทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแสดงว่าไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์แต่อย่างใด จึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสองเพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อจำเลยทั้งสองอ้างในคำให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับที่จำเลยทั้งสองให้การไว้ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่วินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share