คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6304/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความในบันทึกคำรับสารภาพที่จำเลยทั้งสามต่างเขียนขึ้นเองมีข้อความในส่วนที่ตรงกันสรุปได้ว่า จำเลยทั้งสามปรึกษาและออกเงินรวบรวมให้จำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจาก ส. โดยระบุจำนวนเงินของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ด้วย ทั้งยังได้ความจากบันทึกคำรับสารภาพของจำเลยที่ 3 เพิ่มเติมว่า ที่มีการปรึกษาและรวบรวมเงินไปซื้อเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเนื่องจาก ด. โทรศัพท์ขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 3 และตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ก็สอดคล้องกันในส่วนที่แสดงว่า จำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลยที่ 3 เพื่อขายให้แก่ ด. ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนที่ตรวจพบยึดได้ที่บ้านจำเลยที่ 2 อยู่ในลักษณะที่เปิดเผยบนโต๊ะและตกบนพื้นบ้าน การที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนเป็นการกระทำที่สำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้จำเลยที่ 3 ได้เมทแอมเฟตามีนมาขายให้ ด. ได้สำเร็จ แม้ไม่ปรากฏหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนในการตกลงจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้ ด. ก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาให้ ส่วนจำเลยที่ 3 มีหน้าที่จำหน่ายแก่ ด. ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางบางส่วนตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีน 28 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่มิได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง วรรคสอง, 100/2 (ที่ถูก 100/2 เฉพาะจำเลยที่ 1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี และปรับ 150,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี และปรับ 200,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี และปรับ 150,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 8 ปี และปรับ 200,000 บาท จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2) (ที่ถูก ไม่ต้องปรับบทวรรคหนึ่ง), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 4 ปี และปรับ 200,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และทางนำสืบของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี และปรับ 75,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน และปรับ 133,333.33 บาท จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 4 ปี 16 เดือน และปรับ 133,333.33 บาท ริบของกลาง ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ในฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีกำหนด 1 ปี 6 เดือน และปรับ 75,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ร้อยตำรวจตรี คมสันต์ ดาบตำรวจ สุวิทย์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น กับพวกร่วมกันวางแผนให้สายลับชื่อนายแดง ไม่ทราบชื่อสกุล โทรศัพท์ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 3 แล้วจำเลยที่ 3 ไปรับเงิน 6,400 บาท จากนายแดง ซึ่งเป็นธนบัตรที่เจ้าพนักงานตำรวจถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันไว้ จากนั้น จำเลยที่ 3 ไปบ้านจำเลยที่ 2 พบกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้วให้จำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีน 28 เม็ด จากนายสุทธิศักดิ์หรือบอย ด้วยเงิน 7,400 บาท ซึ่งมีธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อรวมอยู่ด้วย นำมาให้จำเลยที่ 3 มอบให้นายแดงซึ่งมารับเมทแอมเฟตามีนที่บ้านจำเลยที่ 2 แล้วกลับออกไป ร้อยตำรวจตรี คมสันต์และดาบตำรวจ สุวิทย์กับพวกเข้าจับกุมจำเลยทั้งสาม กับนายเดี่ยว ซึ่งต่อมาได้รับการปล่อยตัวไป พร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีน 28 เม็ด โดยส่วนหนึ่งได้รับจากสายลับ อีกส่วนได้จากบ้านจำเลยที่ 2 โดยมีจำนวนหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ อีก 1 เม็ด ตกอยู่ที่พื้นบ้าน และโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 เครื่อง นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย พันตำรวจโท ชาติชาย พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองสองห้องผู้รับผิดชอบ สอบปากคำเจ้าพนักงานตำรวจผู้ร่วมจับกุม และจำเลยทั้งสาม คดียังได้ความต่อไปว่า เจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยที่ 1 นำไปจับนายสุทธิศักดิ์พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนเพิ่มอีกส่วน แล้วนายสุทธิศักดิ์นำไปจับกุมนายมาตุภูมิหรือมอส พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนเพิ่มอีกเช่นกัน ทั้งนายสุทธิศักดิ์และนายมาตุภูมิ พร้อมเมทแอมเฟตามีนที่ยึดเพิ่มเป็นของกลางถูกนำส่งพนักงานสอบสวนแล้วถูกแยกดำเนินคดีต่างหากจากคดีนี้ จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางบางส่วน โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดส่วนนี้ ชั้นนี้คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางบางส่วนด้วยหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า จากพยานหลักฐานโจทก์เพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 3 ในการกระทำความผิดฐานนี้ จึงขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นั้น ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดแสดงให้เห็นพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ว่าร่วมกับจำเลยที่ 3 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยฟังคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ว่าเป็นจริงเพราะสอดคล้องกัน ซึ่งมีแต่จำเลยที่ 3 เท่านั้นที่ติดต่อนายแดงตั้งแต่ต้นจนกระทั่งส่งมอบเมทแอมเฟตามีน โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ใดเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน นอกจากเพียงรับจ้างจำเลยที่ 3 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนด้วยค่าจ้างเป็นเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด เท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานนี้ นั้น เห็นว่า ผู้จะเป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดฐานใด ต้องร่วมกันทั้งเจตนาและการกระทำ ปรากฏข้อความในบันทึกคำรับสารภาพที่จำเลยที่ 1 เขียนเอง สรุปได้ว่า จำเลยที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อหานายสุทธิศักดิ์เพื่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนให้ลูกค้า ได้รับแจ้งว่ามีเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 เตรียมเงินไปใช้หนี้ค่าเมทแอมเฟตามีนให้นายสุทธิศักดิ์ 500 บาท ด้วย โดยจำเลยทั้งสามรวบรวมเงินกัน แล้วจำเลยที่ 1 ไปพบและซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายสุทธิศักดิ์ที่บ้านในอำเภอหนองสองห้อง ซื้อได้ประมาณ 30 เม็ด ก็เดินทางกลับ ต่อมาจำเลยทั้งสามถูกจับ ซึ่งเป็นบันทึกคำรับสารภาพที่จำเลยที่ 2 และที่จำเลยที่ 3 ต่างเขียนเองตามลำดับ ในส่วนที่ตรงกันสรุปได้ว่า จำเลยทั้งสามปรึกษาและออกเงินรวบรวมให้จำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากนายสุทธิศักดิ์ โดยระบุจำนวนเงินของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ด้วย ทั้งยังได้ความเพิ่มว่า ที่มีการปรึกษาและรวบรวมเงินไปซื้อดังกล่าวเนื่องจากนายแดงโทรศัพท์ถึงจำเลยที่ 3 ขอซื้อเมทแอมเฟตามีน บันทึกดังกล่าวนอกจากเป็นคำรับว่าจำเลยแต่ละคนกระทำความผิดแล้วยังมีรายละเอียดของการกระทำที่พัวพันร่วมกันระหว่างจำเลยทั้งสามด้วย จำเลยทั้งสามเขียนบันทึกขึ้นด้วยลายมือเองโดยรับว่าไม่ได้ถูกข่มขู่บังคับ ทั้งทำขึ้นใกล้ชิดเวลาเกิดเหตุ ยังไม่มีเวลานึกคิดแต่งเรื่องให้ต่างความจริงได้มาก จึงมีน้ำหนักให้เชื่อถือในรายละเอียดของการกระทำความผิดซึ่งถือว่า ไม่ใช่คำรับสารภาพชั้นจับกุมที่ต้องห้ามรับฟัง เพียงแต่เป็นพยานบอกเล่าที่ต้องประกอบพยานหลักฐานอื่น ทั้งตามคำให้การของจำเลยที่ 1 สรุปได้ความว่า ขณะที่อยู่บ้านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 มาหาให้ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนให้ 20 เม็ด พร้อมทั้งให้เงิน 6,400 บาท จำเลยที่ 2 จึงฝากซื้อด้วย 1,000 บาท ก่อนออกไปซื้อมีนายแดงมาหาจำเลยที่ 3 ทวงเงินค่าเมทแอมเฟตามีนคืน จำเลยที่ 3 บอกรอเดี๋ยวจะไปซื้อมาให้ นายแดงก็กลับไป เมื่อจำเลยที่ 1 ซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้วก็กลับมาหาจำเลยที่ 3 บนบ้าน แล้วแกะห่อเมทแอมเฟตามีนออกนับ ตอนนั้นจำเลยที่ 3 โทรศัพท์เรียกนายแดงมาเอาเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด นายแดงขึ้นมาเอาเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 3 จำนวน 20 เม็ด เมื่อกลับออกไปก็มีเจ้าพนักงานตำรวจขึ้นมา จำเลยทั้งสามตกใจหลบหนีแต่ก็ถูกจับพร้อมเมทแอมเฟตามีน และจากคำให้การจำเลยที่ 3 สรุปได้ความว่า นายแดงโทรศัพท์มาขอซื้อเมทแอมเฟตามีน ขณะนั้นจำเลยที่ 3 ยังไม่มีแต่บอกไปว่าหาให้ได้ 20 เม็ด ราคา 6,400 บาท จึงนัดส่งของและรับเงินกัน จำเลยที่ 3 ไปจุดนัดพบ ขอรับเงินก่อนแล้วจะโทรศัพท์นัดให้ไปรับ เมื่อได้เงินแล้วจำเลยที่ 3 ไปหาจำเลยที่ 1 ให้ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนให้ จำเลยที่ 2 ก็ฝากจำเลยที่ 1 ซื้อ 1,000 บาท ด้วย ขณะจำเลยที่ 1 จะออกไปซื้อเมทแอมเฟตามีน นายแดงก็มาถามว่า ได้เมทแอมเฟตามีนหรือยัง จำเลยที่ 1 บอกกำลังไปเอา นายแดงก็ออกไป อีก 1 ชั่วโมงจำเลยที่ 1 กลับมาพร้อมเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 จึงบอกนายแดงให้มารับ นายแดงมารับไป 20 เม็ด แล้วกลับไป ก็มีเจ้าพนักงานตำรวจมาจับกุมและยึดเมทแอมเฟตามีน ตามที่ได้ความจากคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ารับฟังได้นั้น ก็สอดคล้องกันในส่วนที่แสดงให้เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลยที่ 3 เพื่อขายให้นายแดง แม้ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ก็รับว่าสนิทกันดีกับจำเลยที่ 3 ได้พบกันในวันเกิดเหตุที่บ้านจำเลยที่ 2 และรอจำเลยที่ 2 ที่ไปเอาบัตรทองให้ลูกแล้วจะพากันไปเยี่ยมลูกจำเลยที่ 2 ด้วยกันที่โรงพยาบาลก็มีโทรศัพท์ถึงจำเลยที่ 3 ไม่รู้คุยกันเรื่องอะไร จำเลยที่ 3 ก็ขับรถกระบะออกไป อีกประมาณ 40 นาที ก็กลับมา บอกให้จำเลยที่ 1 หาเมทแอมเฟตามีนจะซื้อให้เจ้าพนักงานตำรวจ รับเงินมาแล้ว จำเลยที่ 1 ปฏิเสธว่า ไม่ต้องซื้อเพราะจะไปธุระและให้เอาเงินไปคืน จำเลยที่ 3 จึงโทรศัพท์เรียกนายแดงมารับเงินคืน อีก 20 นาทีต่อมานายแดงมาถึงและรับเงินคืน แต่เจอจำเลยที่ 1 จึงขอให้ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนให้บอกว่าเจ้าพนักงานตำรวจทราบแล้ว ซื้อให้สายลับไม่เป็นไรแล้วจะแบ่งรางวัลนำจับให้ครึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงโทรศัพท์ติดต่อนายสุทธิศักดิ์ได้ความว่าหาให้ได้ นายแดงจึงให้เงิน 6,400 บาท ไปซื้อ จำเลยที่ 2 กลับมาพอดีตะโกนฝากซื้อด้วย 1,000 บาท จำเลยที่ 1 ก็ขับรถจักรยานยนต์ไปซื้อจากนายสุทธิศักดิ์ อีก 1 ชั่วโมงก็กลับ บอกจำเลยที่ 3 โทรศัพท์เรียกนายแดงมารับเมทแอมเฟตามีน อีก 5 นาที นายแดงมารับเมทแอมเฟตามีนกลับไป แล้วจำเลยทั้งสามก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจมาจับพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน นั้น เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้มีเจตนาเอามาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่หวังมีส่วนช่วยราชการกับรางวัลกึ่งหนึ่งที่นายแดงจะแบ่งให้ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้ว แต่ในรายละเอียดที่เบิกความแม้มีข้อแตกต่างจากข้อความในบันทึกที่จำเลยทั้งสามเขียนขึ้นเอง กับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 3 แต่ยังฟังได้อยู่ดีว่า จำเลยที่ 1 รู้เรื่องเกี่ยวกับการติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีนระหว่างจำเลยที่ 3 กับนายแดง และตนไปซื้อเมทแอมเฟตามีนเพื่อส่งมอบให้นายแดงอยู่ดี เช่นนี้แล้วเป็นการสนับสนุนให้บันทึกที่จำเลยทั้งสามเขียนเพิ่มน้ำหนักรับฟังยิ่งขึ้น ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนที่ตรวจพบยึดได้ที่บ้านจำเลยที่ 2 อยู่ในลักษณะที่เปิดเผยบนโต๊ะและมีตกบนพื้นบ้าน กับการที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปซื้อเมทแอมเฟตามีน อันเป็นการกระทำที่สำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งทำให้จำเลยที่ 3 ได้เมทแอมเฟตามีนมาขายให้นายแดงได้สำเร็จ ย่อมเห็นเจตนาจำเลยที่ 1 ได้ในการเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 3 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นายแดง แม้ไม่ปรากฏหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนในการตกลงจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้นายแดงก็ตาม แต่ก็ถือได้ว่า เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาให้ จำเลยที่ 3 ที่มีหน้าที่จำหน่ายแก่นายแดง การที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 1 รับจ้างจำเลยที่ 3 ไปซื้อเมทแอมเฟตามีนโดยได้รับค่าจ้างเป็นเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด นั้น หากเป็นจริงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 3 ในการหาเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลยที่ 3 ขายให้แก่นายแดงได้สำเร็จ อันเป็นความผิดฐานผู้สนับสนุนการกระทำผิดฐานนี้อยู่ดี ไม่อาจยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหานี้ได้ ทั้งยังอาจมองได้ว่า เป็นเพียงค่าจ้างที่จำเลยที่ 1 ได้รับเพิ่มขึ้นมาเพราะเป็นผู้ต้องออกไปซื้อเมทแอมเฟตามีนมาขาย ก็ไม่พ้นที่ยังคงเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานนี้อยู่ดี การพิสูจน์เจตนาจำเลยที่ 1 ว่าร่วมกระทำผิดฐานนี้คงต้องอาศัยพฤติการณ์การกระทำระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ดังกล่าวข้างต้น พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 สำหรับความผิดฐานนี้ พิจารณาแล้วไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 3 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางบางส่วนตามฟ้องด้วย ส่วนปัญหาความสงบเรียบร้อยของประชาชนเกี่ยวกับอำนาจการสอบสวนว่าไม่ชอบ ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ นั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้เหตุผลไว้ชอบทุกประการแล้วว่า พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น มีอำนาจสอบสวน ทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ดังนั้น ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์บางส่วน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 3 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 3 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน รวมโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 3 ปี และปรับ 75,000 บาท นอกจากที่แก้คงเป็นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share