คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6304/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ใบหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เป็นทรัพย์ที่มีสภาพเช่นเดียวกับสังกมทรัพย์ซึ่งสามารถนำใบหุ้นชนิดและประเภทเดียวกันซึ่งมีจำนวนเท่ากันใช้โอนแทนกันได้หาจำต้องเป็นใบหุ้นฉบับเดียวกับที่ซื้อไว้ด้วยไม่และแม้จะเป็นใบหุ้นที่ซื้อมาในวันอื่นภายหลังก็ตาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระ เงินจำนวน 5,664,604.64 บาท แก่โจทก์ โดยหักเงินปันผล 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อ ปี ออกเสียก่อนแล้วให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันในต้นเงิน 4,754,759 บาท ให้โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง 83,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อ ปีนับแต่วันฟ้องแย้งให้โจทก์คืนใบหุ้นของบริษัท สหยูเนี่ยน จำกัดจำนวน 1,000 หุ้นมูลค่าหุ้นละ 100 บาทแก่จำเลยในการบังคับคดีจำเลยขอให้นำหุ้นของบริษัทต่างๆ รวม 6 บริษัทของจำเลยจำนวน 17,000 หุ้นที่โจทก์ส่งให้กรมบังคับคดีออกขายในตลาดหลักทรัพย์แทนการขายทอดตลาดศาลชั้นต้นอนุญาตขายหุ้นได้เงิน5,681,121.98 บาทศาลชั้นต้นมีคำสั่ง เมื่อวันที่29 กันยายน 2530 ให้โจทก์รับเงินจำนวน ดังกล่าว ไป ได้
จำเลยยื่นคำร้องว่าระหว่างพิจารณาคดีโจทก์ได้ขายหุ้นของจำเลยที่โจทก์เป็น ตัวแทนซื้อให้จำเลยอันเป็นมูลเหตุในคดีนี้ไปแล้วภายหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาโจทก์ส่งใบหุ้นต่อกรมบังคับคดีปรากฎว่าหุ้นที่ส่งเป็นหุ้นที่เพิ่งซื้อใหม่ภายหลังโจทก์ฟ้องคดี แล้วจำเลยจึงหลุดพ้นจากความรับผิดที่จะต้องชำระ เงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกาหรือรับผิดเป็นเงินค่าดอกเบี้ยเพียง 940,652 บาทนอกจากนี้ โจทก์ได้รับเงินปันผลจากหุ้นของจำเลยทุกปี รวมเป็นเงิน1,306,966 บาท จึงต้องนำเงินดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ให้จำเลยเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามจึงต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าว คิดเป็น เงิน 657,493 บาทจำเลยจะ ต้องรับผิดต่อ โจทก์น้อยลงหรือไม่ต้องรับผิด เลย
โจทก์คัดค้านว่าหุ้นชนิดเดียวกันจำนวนเท่ากันส่งมอบแทนกันได้การที่จำเลยยื่น คำร้องขอให้นำหุ้นออกขายในตลาดหลักทรัพย์แทนการขายทอดตลาดเป็นการยอมรับว่าหุ้นดังกล่าวเป็นของจำเลยจำเลยไม่ชำระเงินตามฟ้องจึงต้องชำระดอกเบี้ยตามคำพิพากษาโจทก์รับเงินปันผลเพียง 888,827.99 บาท เมื่อจำเลยไม่ชำระ ค่าหุ้นโจทก์จึง ยึดหน่วงเงินปันผลได้โดยไม่ต้องชำระ ดอกเบี้ยแก่จำเลยและ จำเลยไม่ได้ ฟ้องแย้งขอให้ ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติ ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์โดยมีมูลหนี้อันเกิดจากการที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้แก่จำเลยต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์ขอให้บังคับคดีในชั้นบังคับคดีโจทก์ส่งใบหุ้นของจำเลยที่โจทก์ใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ต่อกรมบังคับคดีปรากฏว่าเป็นหุ้นที่โจทก์เพิ่งซื้อ ใหม่ภายหลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้แล้วนอกจากนี้โจทก์ยังได้รับเงินปันผลจากหุ้นของจำเลยดังกล่าวอีกด้วยคดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าการที่โจทก์ส่งมอบใบหุ้นของจำเลยซึ่งเป็นหุ้นที่ซื้อมาภายหลังให้แก่กรมบังคับคดีในชั้นบังคับคดีจะ มีผลทำให้จำเลย หลุดพ้นไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่เห็นว่าใบหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เป็นทรัพย์ที่มีสภาพเช่นเดียวกับสังกมทรัพย์ซึ่งสามารถนำใบหุ้นชนิดและประเภทเดียวกันซึ่งมีจำนวนเท่ากันใช้แทนกันได้หาจำต้องเป็นใบหุ้นฉบับเดียวกันที่ซื้อไว้ด้วยไม่และแม้จะ เป็นใบหุ้นที่ซื้อมาในวันอื่นภายหลังก็ตามเมื่อได้ความว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ซื้อหุ้นให้แก่จำเลยตามข้อตกลงถูกต้องครบถ้วนแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิทีจะนำใบหุ้นบริษัทเดียวกันหมายเลขใด ๆ ซึ่งมีจำนวนหุ้นเท่ากันมาโอนให้แก่จำเลยได้ดังนั้นการที่โจทก์ส่งมอบใบหุ้นพิพาทให้แก่กรมบังคับคดีในการบังคับคดีเอาแก่จำเลยเช่นนี้ถือว่าโจทก์ทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share