คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6304/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ใบหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เป็นทรัพย์ที่มีสภาพเช่นเดียวกับสังกมะทรัพย์ ซึ่งสามารถนำใบหุ้นชนิดและประเภทเดียวกันซึ่งมีจำนวนเท่ากันใช้แทนกันได้ หาจำต้องเป็นใบหุ้นฉบับเดียวกับที่ซื้อไว้ด้วยไม่ และแม้จะเป็นใบหุ้นที่ซื้อมาในวันอื่นภายหลัง แต่เมื่อก่อนฟ้องโจทก์ได้ซื้อหุ้นให้แก่จำเลยตามข้อตกลงถูกต้องครบถ้วนแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธินำใบหุ้นบริษัทเดียวกันหมายเลขใด ๆ ซึ่งมีจำนวนหุ้นเท่ากันมาโอนให้แก่จำเลยได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีโดยขอหักกลบลบหนี้เกี่ยวกับเงินปันผลในคดีเดิมไว้ ทั้งฟ้องแย้งของจำเลยก็มิได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวด้วย จำเลยจึงไม่มีสิทธิหักกลบลบหนี้ หากจะฟังว่าจำเลยมีสิทธิหักกลบลบหนี้แล้ว ก็ต้องไปฟ้องหรือว่ากล่าวเป็นคดีใหม่ต่างหาก จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธินำเงินปันผลของหุ้นที่โจทก์รับไว้รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินปันผลมาหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษากับโจทก์ได้โดยไม่ต้องฟ้องแย้งเป็นคดีใหม่ เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการเรื่องการหักกลบลบหนี้ให้จำเลยอยู่แล้วอันแสดงว่าโจทก์มีเจตนาที่จะตกลงประนีประนอมยอมยอมให้จำเลยนำเงินปนผลมาหักกลบลบหนี้ได้ และการที่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งหรือให้การปฎิเสธต่อสู้เกี่ยวกับเงินปันผลก็เนื่องจากจำเลยปฏิเสธหนี้ตามฟ้องว่าเป็นโมฆะจึงไม่อาจฟ้องแย้งได้อยู่แล้วนั้นฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจาก ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 5,664,604.64 บาท แก่โจทก์ โดยหักเงินปันผล 15,000บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 2มีนาคม 2522 ถึงวันฟ้อง ( 6 พฤศจิกายน 2522) ออกเสียก่อนแล้วให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันในต้นเงิน 4,754,759บาท นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2522 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง 83,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้ง(25 ธันวาคม 2522) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้โจทก์คืนใบหุ้นของบริษัทสหยูเนี่ยน จำกัด จำนวน 1,000 หุ้นมูลค่าหุ้นละ 100 บาท แก่จำเลย ในการบังคับคดี จำเลยขอให้นำหุ้นของบริษัทต่าง ๆ รวม 6 บริษัท ของจำเลย จำนวน 17,000หุ้น ที่โจทก์ส่งให้กรมบังคับคดี ออกขายในตลาดหลักทรัพย์แทนการขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นอนุญาตขายหุ้นได้เงิน 5,681,121.98บาท และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไปได้
จำเลยยื่นคำร้องว่า ระหว่างพิจารณาคดีโจทก์ได้ขายหุ้นของจำเลยที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อให้จำเลยอันเป็นมูลเหตุในคดีนี้ไปแล้ว ภายหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาโจทก์ส่งใบหุ้นต่อกรมบังคับคดี ปรากฎว่าหุ้นที่ส่งเป็นหุ้นที่เพิ่งซื้อใหม่ภายหลังโจทก์ฟ้องคดีแล้ว จำเลยจึงหลุดพ้นจากความรับผิดที่จะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกาหรือรับผิดเป็นเงินค่าดอกเบี้ยเพียง 940,625 บาท นอกจากนี้โจทก์ได้รับเงินปันผลจากหุ้นของจำเลยทุกปีรวมเป็นเงิน 1,306,966 บาทจึงต้องนำเงินดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ให้จำเลย เมื่อโจทก์ไม่ปฎิบัติตามจึงต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวคิดเป็นเงิน 657,493 บาท จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์น้อยลงหรือไม่ต้องรับผิดเลย
โจทก์คัดค้านว่า หุ้นชนิดเดียวกัน จำนวนเท่ากัน ส่งมอบแทนกันได้ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้นำหุ้นออกขายในตลาดหลักทรัพย์แทนการขายทอดตลาดเป็นการยอมรับว่าหุ้นดังกล่าวเป็นของจำเลย จำเลยไม่ชำระเงินตามฟ้องจึงต้องชำระดอกเบี้ยตามคำพิพากษา โจทก์รับเงินปันผลเพียง 888,827.99 บาท เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าหุ้น โจทก์จึงยึดหน่วงเงินปันผลได้โดยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยแก่จำเลย และจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายประการแรกที่ว่า การที่โจทก์ส่งมอบใบหุ้นของจำเลยซึ่งเป็นหุ้นที่ซื้อมาภายหลังให้แก่กรมบังคับคดีในชั้นบังคับคดีจะมีผลทำให้จำเลยหลุดพ้นไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่เห็นว่า ใบหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เป็นทรัพย์ที่มีสภาพเช่นเดียวกับสังกมทรัพย์ซึ่งสามารถนำใบหุ้นชนิดและประเภทเดียวกัน ซึ่งมีจำนวนเท่ากันใช้แทนกันได้ หาจำต้องเป็นใบหุ้นฉบับเดียวกับที่ซื้อไว้ด้วยไม่ และแม้จะเป็นใบหุ้นที่ซื้อมาในวันอื่นภายหลังก็ตาม เมื่อได้ความว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ซื้อหุ้นให้แก่จำเลยตามข้อตกลงถูกต้องครบถ้วนแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะนำใบหุ้นบริษัทเดียวกันหมายเลขใด ๆ ซึ่งมีจำนวนหุ้นเท่ากันมาโอนให้แก่จำเลยได้ ดังนั้นการที่โจทก์ส่งมอบใบหุ้นพิพาทให้แก่กรมบังคับคดีในการบังคับคดีเอาแก่จำเลยเช่นนี้ ถือว่าโจทก์ทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกา
จำเลยฎีกาในประการต่อมาว่า จำเลยมีสิทธินำเงินปันผลของหุ้นที่โจทก์รับไว้รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินปันผลมาหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษากับโจทก์ได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่นั้นจำเลยอ้างเหตุในฎีกาว่าเป็นเพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการเรื่องการหักกลบลบหนี้ให้จำเลยอยู่แล้ว อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีเจตนาที่จะตกลงประนีประนอมยอมให้จำเลยนำเงินปันผลมาหักกลบลบหนี้ได้ และการที่จำเลยมิได้ฟ้องแย้งหรือให้การปฎิเสธต่อสู้เกี่ยวกับเงินปันผล ก็เนื่องจากจำเลยปฎิเสธหนี้ตามฟ้องว่าเป็นโมฆะ จึงไม่อาจฟ้องแย้งได้อยู่แล้วนั้น เห็นว่า ในประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีโดยขอหักกลบลบหนี้เกี่ยวกับเงินปันผลในคดีเดิมไว้ อีกทั้งฟ้องแย้งของจำเลยก็มิได้กล่าวถึงอีกด้วยจำเลยจึงไม่มีสิทธิหักกลบลบหนี้ แม้หากจะฟังว่ามีสิทธิหักกลบลบหนี้จำเลยก็ต้องไปฟ้องหรือว่ากล่าวเป็นคดีใหม่ต่างหาก ดังนั้นฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share