คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2631/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อสัญญาระบุว่า กรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันทีโดยโจทก์ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ซึ่งข้อสัญญาดังกล่าวแม้จะมีข้อความแตกต่างจากบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคแรก แต่กฎหมายบทนี้มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้
ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยยังไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด และคดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันมีเพียง 32,345 บาท การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นอาจมีผลทำให้คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงเห็นควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบเครื่องปรับอากาศยี่ห้อฮิตาชิที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๓๒,๓๔๕ บาท กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของราคาดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์บอกเลิกสัญญาขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๖๐ ประกอบมาตรา ๔ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบ การเอาทรัพย์สินของโจทก์ออกให้เช่าซื้อโจทก์บวกดอกเบี้ยล่วงหน้า แล้ว การที่โจทก์ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอีกนั้นเป็นการเรียกดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๑ บริษัทพี มูฟวิ่ง อินเตอร์ทรานสปอร์ต จำกัด ทำสัญญาเช่าซื้อเครื่องปรับอากาศ ราคา ๕๓,๘๙๒ บาท จากโจทก์ ชำระเงินวันทำสัญญา ๙,๙๐๐ บาท ที่เหลือผ่อนชำระภายในวันที่ ๒๐ ของทุกเดือน เดือนละงวด งวดละ ๑,๘๓๓ บาท รวม ๒๔ งวด เริ่มผ่อนชำระงวดแรกวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๑ หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที โดยจำเลยทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาจำเลยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ ๖ งวด จำนวน ๑๑,๖๔๗ บาท และผิดนัดไม่ชำระให้อีก โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและให้จำเลยส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์แล้ว คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามที่สัญญาระบุว่า กรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ให้ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที โดยโจทก์ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า แม้ข้อสัญญาดังกล่าวจะมีข้อความแตกต่างจากบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๔ วรรคแรก แต่กฎหมายบทนี้มิใช่กฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงใช้บังคับได้ ส่วนหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๒ ที่โจทก์มีไปถึงผู้เช่าซื้อนั้นก็เป็นการแสดงเจตนายืนยันว่าโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญาเช่าซื้อและให้โอกาสผู้เช่าซื้อชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่หรือนำทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปคืนโจทก์ภายใน ๓ วันเท่านั้น หาทำให้สัญญาเช่าซื้อซึ่งเลิกไปแล้วกลับมีผลใช้บังคับกันได้อีกแต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของโจทก์ไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยยังไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันมีเพียง ๓๒,๓๔๕ บาท การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นอาจมีผลทำให้คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาจึงเห็นควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในประเด็นดังกล่าวจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๑) ประกอบมาตรา ๒๔๗
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่.

Share