แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมขอให้การใหม่รับสารภาพศาลชั้นต้นจดคำให้การจำเลยที่รับสารภาพขึ้นใหม่ การที่ตัวจำเลยได้ลงชื่อในฐานะจำเลยลงในคำให้การและในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลต่อหน้าศาลชั้นต้นนั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนายื่นคำร้องให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ใหม่ต่อศาลด้วยตัวของจำเลยโดยไม่ประสงค์ให้ทนายความที่แต่งตั้งทำแทนซึ่งย่อมกระทำได้เพราะทนายความที่จำเลยแต่งตั้งนั้นตามกฎหมายเพียงให้เข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลในฐานะตัวแทนของจำเลยเท่านั้น ฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้เสียหายอายุ 11 ปี 10 เดือน ทางพิจารณาปรากฏว่าผู้เสียหายอายุ 14 ปี 10 เดือน 16 วัน เมื่อตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277 วรรคแรก วรรคสอง และวรรคสามซึ่งตามวรรคแรกได้ระบุอายุของผู้เสียหายไว้ไม่เกิน 15 ปีข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องอายุของผู้เสียหายจึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง การที่จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นการรับสารภาพว่าจำเลยได้กระทำตามฟ้องจริง ส่วนการกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในข้อหาความผิดฐานพรากผู้เยาว์แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยมิได้มีเจตนาพรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครอง ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215,225 ที่จำเลยฎีกาว่า ลายมือชื่อผู้ร้องทุกข์ในบันทึกคำร้องทุกข์หรือกล่าวโทษในคดีนี้เป็นลายมือชื่อปลอมนั้น เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371,317 วรรคแรกและวรรคสาม, 277 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม, 279และให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้องศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสองและวรรคสาม, 279 วรรคสอง, 317 วรรคแรกและวรรคสาม และ 371 เรียงกระทงลงโทษ เฉพาะความผิดฐานกระทำชำเราและอนาจารเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 277วรรคสาม ซึ่งเป็นบทหนักประกอบมาตรา 53 วางโทษจำคุก 50 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปรับ 90 บาท คำรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามมาตรา 78 หนึ่งในสาม ฐานกระทำชำเรา จำคุก 33 ปี 4 เดือนฐานพรากผู้เยาว์จำคุก 6 ปี 8 เดือน ฐานพาอาวุธ ปรับ 60 บาทรวมลงโทษจำคุก 40 ปี ปรับ 60 บาท ริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่จำเลยฎีกาประการแรกว่า คำร้องคำให้การของจำเลยที่ศาลชั้นต้นจดบันทึกขึ้นใหม่และรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 19 สิงหาคม 2535 นั้น มิได้มีทนายความผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยเป็นผู้เรียงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายที่จะรับฟังว่า จำเลยรับสารภาพกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ได้นั้น เห็นว่าคำร้องที่จำเลยอ้างนำมายื่นต่อศาลชั้นต้นในวันดังกล่าวจำเลยได้ลงชื่อมาในฐานะเป็นจำเลยและในฐานะเป็นผู้เรียงด้วยตัวเองและศาลชั้นต้นได้บันทึกคำให้การจำเลยตามที่จำเลยได้แถลงต่อศาลชั้นต้นขอถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธไว้เดิมขอให้การใหม่รับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ และจำเลยยังได้ขอให้ศาลชั้นต้นบันทึกลงในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นอีกด้วยว่าข้อความใดของจำเลยเดิมที่เป็นไปในทางปฏิเสธจำเลยไม่ติดใจอีกต่อไป โดยตัวจำเลยได้ลงชื่อในฐานะจำเลยลงในคำให้การและในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลต่อหน้าศาลชั้นต้นเป็นการยืนยันด้วยความสมัครใจนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนายื่นคำร้องทำคำให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ใหม่ต่อศาลด้วยตัวของจำเลย โดยไม่ประสงค์ให้ทนายความที่แต่งตั้งทำแทนให้ ซึ่งย่อมกระทำได้เพราะทนายความที่จำเลยแต่งตั้งนั้นตามกฎหมายเพียงเข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลในฐานะตัวแทนของจำเลยเท่านั้น ฉะนั้นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลดังที่จำเลยกล่าวอ้างจึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60วรรคแรก ที่ศาลล่างนำมารับฟังว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์จริง จึงเป็นการชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องอายุของผู้เสียหายแตกต่างกับฟ้องนั้น เห็นว่าตามคำฟ้องโจทก์ผู้เสียหายอายุ 11 ปี 10 เดือน แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าในขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 14 ปี 10 เดือน 16 วัน ดังนั้นเมื่อตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม ซึ่งตามวรรคแรกได้ระบุอายุของผู้เสียหายไว้ไม่เกิน15 ปี ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องอายุของผู้เสียหาย จึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลล่างพิพากษาความผิดฐานพรากผู้เยาว์เป็นความผิดคนละกรรมกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและกระทำความผิดฐานอนาจารไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ในข้อนี้แม้จำเลยจะไม่ฎีกาในข้อหาความผิดฐานพรากผู้เยาว์มาด้วยก็ตาม แต่ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดฐานนี้สมควรหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้กับจำเลยว่าได้กระทำผิดด้วยหรือไม่ เพราะในคดีอาญาที่จำเลยให้การรับสารภาพนั้น คำรับสารภาพของจำเลยเป็นเรื่องที่รับว่าเป็นการกระทำตามฟ้องเท่านั้น ส่วนการกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่นั้นเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ซึ่งบทบัญญัติมาตรานี้ ศาลฎีกาต้องนำมาใช้ในการพิจารณาพิพากษาด้วย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 225 ซึ่งศาลจำต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนแน่ชัดก่อน โดยข้อหานี้พยานหลักฐานแห่งคดีแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่า จำเลยมิได้มีเจตนาพรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครองแต่ประการใดจึงเห็นสมควรยกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรก ประกอบมาตรา 215และ 225 ข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวจึงไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไป
ที่จำเลยฎีกาว่าลายมือชื่อผู้ร้องทุกข์ในบันทึกคำร้องทุกข์เพื่อกล่าวโทษในคดีนี้เป็นลายมือชื่อปลอมนั้น เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาซึ่งจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ส่วนค่าปรับถ้าไม่ชำระให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30