คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 628/2521

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าที่ดินปลูกตึกแถวมีว่าให้ตึกแถวตกเป็นของผู้ให้เช่าเมื่อสัญญาสิ้นอายุ ตึกแถวตกเป็นของผู้ให้เช่าในฐานเป็นส่วนควบโดยไม่ต้องแจ้งให้ผู้เช่าไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามที่กำหนดในสัญญาเช่า

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและตึกแถวตามฟ้อง ให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้เช่าที่ดินพิพาทปลูกตึกแถวพิพาทขึ้นเองมีกำหนดอายุเช่า 10 ปี จดทะเบียนการเช่าต่อเจ้าพนักงานที่ดินไว้ และตกลงกันว่าเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่าจำเลยยอมยกกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ภายใต้เงื่อนไขดังนี้ “โจทก์มีสิทธิเลือกเอาว่าจะรับโอนตึกแถวพิพาทไว้ หรือจะยังไม่รับโอนแต่จะให้เช่าที่ดินต่อไป หรือจะใช้สิทธิรื้อถอนตึกแถวพิพาทก็ได้ ในกรณีที่โจทก์เลือกจะรับโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาท จำเลยจะต้องจัดการจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ทันที และให้ถือว่าสัญญาเช่าที่ดินที่มีอยู่ต่อกัน เป็นอันเลิกกันไปนับแต่วันที่โจทก์แจ้งให้จำเลยทำการโอนกรรมสิทธิ์โดยไม่ต้องมีการแจ้งการเลิกสัญญาเช่าที่ดินกันอีก” โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบเป็นการล่วงหน้าว่าเมื่อครบกำหนดอายุสัญญาเช่า โจทก์ใช้สิทธิเลือกเอาการรับโอนกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาทเป็นของโจทก์ และสัญญาเช่าครบกำหนดเวลาแล้ว” ฯลฯ

“ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาเช่าได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่า เมื่อสัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว ในกรณีที่ผู้ให้เช่าต้องการรับโอนกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทจะต้องแจ้งให้ผู้เช่าทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้ และผู้เช่าจะต้องไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ให้เช่า ไม่มีทางจะตีความได้ว่ากรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทตกเป็นของโจทก์ในทันทีที่สัญญาเช่าสิ้นอายุลง โจทก์ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทนั้น เมื่อฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติดังกล่าวไว้ข้างต้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินปลูกตึกแถวโดยมีข้อสัญญาว่า” ฯลฯ”ให้ตึกแถวตกเป็นของโจทก์เจ้าของที่ดินเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดอายุแล้วตึกแถวย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์เจ้าของที่ดินตามสัญญาในฐานะเป็นส่วนควบของที่ดินไปในตัวตามมาตรา 107 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยโจทก์ไม่ต้องแจ้งให้จำเลยไปทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้ตามเงื่อนไขในสัญญาเช่าอีก”

พิพากษายืน

Share