คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6278/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินและตึกแถวที่เกิดเพลิงไหม้เป็นของบิดาโจทก์ บิดาโจทก์ให้ ข. มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต ข. ให้จำเลยเช่าเป็นเวลา7 ปี เมื่อบิดาโจทก์และ ข. ถึงแก่ความตายระหว่างสัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดลง โจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับโอนมรดกที่ดินและตึกแถวดังกล่าว จึงรับโอนสิทธิหน้าที่ที่บิดาโจทก์ทั้งสองมีอยู่รวมถึงสิทธิที่ ข. ผู้มีสิทธิเก็บกินให้จำเลยเช่านี้ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย สัญญาเช่าระบุวัตถุประสงค์การเช่าว่าเพื่อใช้ประกอบธุรกิจการค้า การที่จำเลยนำสินค้าของจำเลยซึ่งมีกล่องกระดาษบรรจุสินค้าและเศษกล่องกระดาษที่ใช้แล้วเก็บไว้ในตึกแถวพิพาทจำนวนมากเป็นการใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากการที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยไม่จัดให้มีเครื่องดับเพลิงและเวรยาม แม้ผลการสอบสวนไม่อาจทราบได้ว่าบุคคลใดทำให้เกิดเพลิงไหม้ก็ตาม แต่เหตุเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็เพราะความผิดของจำเลยดังกล่าวมาแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 552 และมาตรา 562

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3464 พร้อมตึกแถวห้องเลขที่ 136/4-5-6-7 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวจากขุนสถิตย์ผู้มีสิทธิเก็บกินในที่ดินพร้อมตึกแถว ต่อมาจำเลยได้นำตึกแถวห้องเลขที่ 136/4-5 ไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วงและใช้ตึกแถวห้องเลขที่ 136/6-7 เป็นโกดังเก็บสินค้าหรือคลังสินค้าเก็บเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าและโทรทัศน์ อันเป็นการใช้ทรัพย์สินที่เช่าผิดวัตถุประสงค์ของสัญญา จำเลยได้กระทำโดยประมาทนำกล่องกระดาษและเศษกระดาษเก็บไว้ในห้องเลขที่ 136/6-7 โดยมิได้จัดหาเครื่องอุปกรณ์การดับเพลิงหรือเครื่องดับเพลิงไว้ภายในบริเวณดังกล่าวและมิได้จัดเวรยามหรือผู้เฝ้ารักษาทรัพย์สินของจำเลย ต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้ที่ตึกแถวห้องเลขที่ 136/6-7 เป็นเหตุให้ตึกแถวทั้ง 2 คูหาได้รับความเสียหาย คิดเป็นค่าเสียหายจำนวน 334,668 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 334,668 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องกับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ใช้ตึกแถวที่เช่าเพื่อการอยู่อาศัยและค้าขายเครื่องรับโทรทัศน์และอุปกรณ์โทรทัศน์และสินค้าอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ในสัญญาเช่าและตามประเพณีนิยมปกติด้วยความระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เช่าตลอดมา จำเลยไม่ได้นำตึกแถวที่เช่าไปทำเป็นคลังสินค้าเพื่อเก็บเศษกระดาษ การที่เกิดเพลิงไหม้ตึกแถวมิใช่เพราะความผิดหรือความประมาทเลินเล่อของจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ตึกแถวที่ถูกเพลิงไหม้ก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องจึงสูงกว่าความเป็นจริงมาก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 334,668 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2529 อันเป็นวันละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ดินและตึกแถวที่เกิดเพลิงไหม้เป็นของนายปิติบิดาโจทก์ทั้งสอง นายปิติให้ขุนสถิตย์มีสิทธิเก็บกินตลอดชีวิต ขุนสถิตย์ได้ให้จำเลยเช่าเป็นเวลา 7 ปี เมื่อนายปิติตายและต่อมาขุนสถิตย์ก็ถึงแก่ความตายในระหว่างเวลาที่สัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดลงโจทก์ทั้งสองเป็นผู้รับโอนมรดกที่ดินและตึกแถวดังกล่าว โจทก์ทั้งสองจึงได้รับโอนสิทธิหน้าที่ที่บิดาโจทก์ทั้งสองมีอยู่ ซึ่งรวมถึงสิทธิที่ขุนสถิตย์ผู้มีสิทธิเก็บกินให้จำเลยเช่านี้ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
ตามสัญญาเช่าระบุวัตถุประสงค์การเช่าว่าเพื่อใช้ประกอบธุรกิจการค้า การที่จำเลยนำสินค้าของจำเลยประเภทหลอดภาพและอุปกรณ์อะไหล่วิทยุและโทรทัศน์ซึ่งมีกล่องกระดาษบรรจุสินค้าดังกล่าวและเศษกล่องกระดาษที่ใช้แล้วเก็บไว้ในตึกแถวพิพาทจำนวนมากมีมูลค่าถึง 6,000,000 บาท โดยจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยใช้ตึกแถวพิพาทเป็นโกดังเก็บสินค้า เป็นการใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากการที่กำหนดไว้ในสัญญาหาได้เป็นการใช้เพื่อการอยู่อาศัยและค้าขาย และการที่จำเลยนำกล่องกระดาษซึ่งติดไฟง่ายเข้ามาไว้ในตึกแถวพิพาทที่เช่า จำเลยจึงต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่านั้นเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเองโดยจำเลยต้องจัดให้มีเครื่องดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิงไว้พร้อมที่จะดับได้ทันทีเมื่อเกิดเพลิงไหม้และต้องจัดเวรยามเฝ้าดูแลรักษาตลอดเวลาซึ่งเมื่อเกิดเพลิงไหม้แล้วก็สามารถใช้เครื่องดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิงที่เกิดขึ้นได้ทันที เมื่อจำเลยมิได้จัดให้มีเครื่องดับเพลิงและอุปกรณ์ดับเพลิงและจัดเวรยามเฝ้าดูแลรักษาสินค้าของจำเลยจนเกิดเพลิงไหม้สินค้าของจำเลยแล้วลุกลามไหม้ตึกแถวที่พิพาท เหตุเกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ก็เพราะความผิดของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 552 และมาตรา 562 คดีฟังได้ว่าเหตุเพลิงไหม้ตึกแถวพิพาทเกิดจากความรับผิดของจำเลย
พิพากษายืน

Share