แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาที่ว่าเมื่อโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 หรือปลดหนี้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น มิใช่ปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ค่าเสียหายที่ขาดรายได้ตามปกติ เป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับตัวเงินที่โจทก์ต้องขาดไป เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้ในระหว่างที่ต้องรักษาตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ส่วนค่าเสียหายในการเจ็บป่วยก็คือค่าที่โจทก์ต้องเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย เป็นค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่เป็นตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 ไม่ใช่ค่าเสียหายอย่างเดียวกัน ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายทั้งสองอย่างนี้ให้แก่โจทก์ได้ไม่เป็นการซ้ำซ้อนกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ ๒ โดยความประมาทจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์เลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของโจทก์อย่างกระชั้นชิด เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับชนรถยนต์นั้นล้มลง โจทก์ได้รับบาดเจ็บต้องเสียค่ารักษาพยาบาล ค่าซ่อมรถ ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วันและเป็นแผลติดตัวไปตลอดชีวิต ทำให้เสียหายแก่ร่างกายและอนามัย โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท จากบาดแผลที่โจทก์ได้รับทำให้โจทก์ประกอบธุรกิจตามปกติไม่ได้ ขาดประโยชน์รายได้ ๑๓,๗๐๐ บาท จึงมาฟ้องให้จำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์รายได้และค่าเสียหายแก่กายและอนามัย เป็นการเรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อน โจทก์ได้รับเงินค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ ไป ๕,๐๐๐ บาท ตกลงว่าจะไม่เรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๑ อีก จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ จำเลยที่ ๒ ในฐานะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายต่อโจทก์ด้วย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์รายได้ในการประกอบอาชีพระหว่างรักษาพยาบาลกับค่าเสียหายแก่กายที่ต้องเจ็บป่วยด้วยอาการทุกขเวทนาให้โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า ค่าเสียหายแก่กายที่ต้องเจ็บป่วยเป็นค่าเสียหายซ้ำกับค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ขาดประโยชน์รายได้ตามปกติ เพราะเจ็บป่วยในการเกิดอุบัติเหตุซึ่งศาลพิพากษาให้ไปแล้ว ไม่ควรให้อีก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะลูกหนี้ร่วม ในเมื่อโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ หรือปลดหนี้ให้จำเลยที่ ๑ สิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องจึงระงับ จำเลยที่ ๒ ต้องหลุดพ้นจากความรับผิดทางแพ่งไปด้วย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาข้อนี้จำเลยที่ ๒ มิได้ยกขึ้นวากล่าวในชั้นอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎ๊กาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า ค่าเสียหายในการที่ต้องเจ็บป่วยและค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดรายได้ตามปกติเพราะเหตุการป่วยเจ็บเป็นค่าเสียหายอย่างเดียวกันนั้น วินิจฉัยว่า ค่าเสียหายทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่ค่าเสียหายอย่างเดียวกัน ค่าเสียหายที่ขาดรายได้ตามปกติเป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับตัวเงินที่โจทก์ต้องขาดไปเพราะไม่สามารถประกอบการงานของโจทก์ได้ตามปกติในระหว่างที่ต้องรักษาตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๓ ส่วนค่าเสียหายในการป่วยเจ็บที่โจทก์ได้รับเป็นค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายอย่างอื่นที่มิใช่เป็นตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ สำหรับคดีนี้ก็คือค่าที่โจทก์ต้องเสียหายแก่ร่างกาย หรืออนามัยอันเป็นความเสียหายที่ได้รับเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ นั่นเอง จึงไม่ใช่ค่าเสียหายซ้ำซ้อนดังที่จำเลยที่ ๒ ฎีกา
พิพากษายืน